Custom Search

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย ( male genital organ )

อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย ( male genital organ )

ภาพ:Male penis ana.png

แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ

1. อวัยวะสืบพันธุ์เพศชายภายนอก ( external male genital organ ) เป็นอวัยวะส่วนที่สามารถมอง

เห็นได้จากภายนอก ประกอบด้วย

1.1 ลึงค์ ( penis ) เป็นอวัยวะที่ใช้ในการร่วมเพศ เป็นทางผ่านของสเปิร์มและน้ำปัสสาวะออกสู่ภายนอก ภายในลึงค์ประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่แข็งตัวได้ ( erectile tissue ) ปลายสุดของลึงค์จะพองออกเรียกว่า หัวลึงค์ ( gland penis )

1.2 ถุงอัณฑะ ( scrotum or scrotal sac ) เป็นส่วนของผิวหนังที่ยื่นออกมาจากช่องท้อง เนื่องจากอัณฑะที่อยู่ในช่องท้องเลื่อนลงมา ถุงอัณฑะทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิให้แก่อัณฑะ โดยอุณหภูมิของถุงอัณฑะจะต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกายประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการสร้างอสุจิ

2. อวัยวะสืบพันธุ์ภายใน ( internal male genital organ ) เป็นส่วนที่อยู่ภายใน ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก ประกอบด้วย

2.1 อัณฑะ ( testis ) เป็นอวัยวะคู่ซึ่งจะเคลื่อนจากช่องท้องลงสู่ถุงอัณฑะ ถ้าหากไม่เคลื่อนที่ลงมาในถุงอัณฑะจะทำให้เป็นหมัน เพราะอุณหภูมิของอัณฑะสูงเกินไปไม่เหมาะต่อการสร้างสเปิร์ม ประกอบด้วย

- หลอดสร้างตัวอสุจิ ( seminiferous tubule ) เป็นท่อที่ขดไปขดมา การสร้างสเปิร์มจะถูกควบคุมโดยฮอร์โมน FSH ( Follicle stimulating hormone )จากต่อมใต้สมอง และฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจากอัณฑะ

- เนื้อเยื่ออินเตอร์สติเชียล ( Interstitial cell ) เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างหลอดสร้างอสุจิ ถูกควบคุมโดยฮอร์โมนฮอร์โมน LH ( Lutinizing hormone ) จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ทำหน้าที่หลักในการสร้างฮอร์โมน

เพศชาย คือเทสโทสเตอโรน ( Testosterone ) เพื่อควบคุมลักษณะทางเพศขั้นที่สองของเพศชาย ( male secondary characteristic ) เช่น เสียงแตก มีหนวด การขยายขนาดของอวัยวะเพศ การมีขนที่อวัยวะเพศ การมีความต้องการทางเพศ เป็นต้น

1.2 ท่อต่าง ๆ ( ducts ) ประกอบด้วย

- เรตีเทสทีส ( rete testis ) เป็นท่อรวมของหลอดสร้างสเปิร์ม ทำหน้าที่หลักเป็นทางผ่านของตัวอสุจิไปยังหลอดเก็บตัวอสุจิต่อไป

- เอพิดิไดมิสหรือหลอดเก็บตัวอสุจิ ( epididymis ) ทำหน้าที่ในการเก็บสเปิร์มและสร้างอาหารเลี้ยงสเปิร์ม โดยสเปิร์มจะถูกพักไว้ที่นี้นานถึง 6 สัปดาห์ จนกระทั่งสเปิร์มแข็งแรงและพร้อมที่จะผสมกับไข่ได้ต่อไป

- ท่อนำสเปิร์ม ( vas deferens ) เป็นท่อที่ต่อจากหลอดเก็บตัวอสุจิลงมา มีความยาวประมาณ 18 นิ้ว ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของสเปิร์ม การทำหมันถาวรในเพศชายที่เรียกว่า วาเซกโทมี ( vasectomy ) ก็เป็นการผูกหรือตัด ท่อนำสเปิร์มนี้เอง

- ท่ออีเจกคูลาทอรีหรือท่อฉีดตัวอสุจิ ( ejaculatory duct ) ทำหน้าที่ในการบีบตัวปล่อยสเปิร์มสู่ภายนอก

2.3 ต่อมต่างๆ ( accessory male genital gland )

- ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงตัวอสุจิ ( Seminal vesicle ) เป็นท่อ 2 ท่อขดไปมาทำหน้าที่ในการสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ ซึ่งได้แก่น้ำตาลฟรักโทส วิตามินซี

- ต่อมลูกหมาก ( prostate gland ) ทำหน้าที่สร้างสารสีขาวคล้ายน้ำนม มีกลิ่นเฉพาะตัว สารจากต่อม ลูกหมากมีฤทธิ์เป็นเบสอ่อนๆ ช่วยในการลดความเป็นกรดในท่อปัสสาวะและป้องกันอันตรายจากความเป็นกรดในช่อง คลอดของฝ่ายหญิง ต่อมนี้จะมีขนาดโตขึ้นเมื่อชายมีอายุมากขึ้น

- ต่อมคาวเปอร์ ( Cowper’s gland ) อยู่ใต้ต่อมลูกหมาก มี 2 ต่อมขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ทำหน้าที่ในการหลั่งสารเหลวใสและเหนียว เพื่อหล่อลื่นในขณะที่เกิดการกระตุ้นทางเพศ

น้ำกาม ( semen ) หรือน้ำอสุจิ ในการร่วมเพศแต่ละครั้งมีประมาณ 3 ลูกบาศก์เซนติเมตรประกอบด้วย ของเหลวจากต่อมต่างๆ คือหลอดสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ ต่อมคาวเปอร์ ต่อมลูกหมาก และสเปิร์มอีกประมาณ 300-500 ล้านตัว น้ำกามจะมีสีขาว ทึบแสง มีกลิ่นเฉพาะตัว คนปกติจะมีอสุจิ 70 ล้านตัวต่อซีเมน1 ลบ.ซม. หากต่ำกว่า 30 ล้านตัว / 1ลบ.ซม. มักจะเป็นหมัน วงชีวิตสามารถอยู่ในหลอดเก็บตัวอสุจิได้นาน 40 วัน และจะมีชีวิตอยู่ในปีกมดลูกเพื่อรอการผสมได้นาน 2 วัน

ภาพ:Penis reduced.jpg

อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง ( female genital organ )

ภาพ:MonsPabis.gif

ภาพ:Female anatomy frontal.png

แบ่งออกเป็น

1. อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิงภายนอก ( external female genital organ ) ประกอบด้วย

1.1 คลิทอริส ( clitoris ) เป็นส่วนที่ปรากฎอยู่ทางส่วนบนของแคมเล็ก มีลักษณะการเจริญเช่นเดียวกับลึงค์ของผู้ชาย คือมีเนื้อเยื่อที่แข็งตัวได้ มีปลายประสาทมาสิ้นสุดมากจึงรับความรู้สึกต่างๆ ได้เร็ว

1.2 แคมใหญ่ ( labia majora ) เป็นส่วนของผิวหนังที่มีก้อนไขมัน ด้านหน้าของแคมใหญ่ทั้งสองข้างจะติดกับเนินหัวเหน่า แคมใหญ่จะมีการเจริญมาเช่นเดียวกับถุงอัณฑะของเพศชาย

1.3 แคมเล็ก ( labia minora ) เป็นส่วนของผิวหนังที่อยู่ด้านในของแคมใหญ่และถูกแคมใหญ่ปิดทับอยู่ แคมเล็กมีต่อมไขมันมาก เพื่อช่วยให้เกิดการหล่อลื่นและป้องกันการเสียดสีขณะเกิดการร่วมเพศ

2. อวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิงภายใน ( internal female genital organ ) เป็นอวัยวะส่วนที่มองไม่เห็นจากภายนอก ประกอบด้วย

2.1 รังไข่ ( ovary ) มีอยู่ 1 คู่ ทำหน้าที่ในการสร้างไข่และฮอร์โมนเพศหญิง รังไข่อยู่ลึกเข้าไปในอุ้งเชิงกราน 2 ข้างของมดลูก รังไข่มีขนาดประมาณเท่ากับนิ้วหัวแม่มือและหนักประมาณ 2-3 กรัมเท่านั้น รังไข่ของเด็กหญิงแรกเกิดจะมีไข่ซึ่งเรียกว่า โอโอไซต์ ( Oocyte ) ประมาณ 500,000 เซลล์ แต่จะมีโอโอไซต์ที่จะสุกและตกไข่ได้ประมาณ 400 เซลล์เท่านั้น



โอโอไซต์เป็นไข่ที่ยังเจริญไม่เต็มที่ จะถูกเซลล์ที่เรียกว่าฟอลลิคูลาร์เซลล์ ( follicular cell ) หุ้มอยู่และเรียกว่าฟอลลิเคิล ( follicle ) ในวัยที่สามารถมีบุตรได้จะมีไข่สุกและปล่อยออกมาจากรังไข่เดือนละ 1 เซลล์ ในเพศหญิงมีระยะเวลาในการตกไข่ประมาณ 30-35 ปี จึงมีไข่ตกประมาณ 360-400 เซลล์ ส่วนที่เหลือจะฝ่อไป

FSH เป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่สร้างจากต่อมใต้สมองส่วนหน้า ทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงคือเอสโตรเจน ( Estrogen ) ซึ่งเป็นตัวคอยควบคุมการเจริญเติบโตขั้นที่สองของเพศหญิง เช่น การเจริญของอวัยวะเพศหญิง การเจริญของเต้านม

2.2 มดลูก ( uterus ) มีขนาดประมาณ 3 นิ้ว ทำหน้าที่สำคัญคือเป็นที่ฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมแล้วและเป็นแหล่งที่ เกิดการมีประจำเดือน เป็นชั้นที่มีการสร้างรก เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนก๊าซและส่งอาหารให้กับเอมบริโอ

2.3 ช่องคลอด ( vagina )เป็นท่อกลวงต่อจากปากมดลูกออกมา เป็นทางผ่านของสเปิร์มเข้าสู่มดลูก มีโปรโตซัวที่สำคัญคือ Trichomonas vaginalis ซึ่งจะทำให้ผนังช่องคลอดเกิดการอักเสบและตกขาวได้

2.4 ท่อนำไข่หรือปีกมดลูก ( oviduct ) เป็นท่อที่เกิดการผสมกันระหว่างสเปิร์มและโอโอไซต์ ภายในท่อนำไข่จะมีเซลล์ที่มีขนซีเลียคอยโบกพัดให้ไข่เคลื่อนที่มาตามท่อนำ ไข่ การทำหมันแห้งหรือการทำหมันถาวรในผู้หญิงก็คือการตัดและผูกท่อนำไข่นี้เอง



รอบประจำเดือนของเพศหญิง

ผู้หญิงอายุ 12-45 ปี จะมีการตกไข่ ( Ovulation) และมีประจำเดือน 28 วัน / 1 ครั้ง ยกเว้นในเวลามีครรภ์จะไม่มีประจำเดือน ( Menstruation ) ในรอบเดือนจะมีการตกไข่ 1 ฟอง สลับกันซ้ายขวา การมีประจำเดือนเป็นการลอกหลุดของเนื้อเยื่อที่สร้างรอรับตัวอ่อนในเนื้อ เนื่อชั้นในของมดลูก ( Endometrium )และเลือดจะไหลออกทางช่องคลอด ( Vagina )

รอบประจำเดือนของเพศหญิง แบ่งออกเป็นระยะได้ดังนี้

1. ระยะก่อนตกไข่ ( Follicle stage ) เป็นระยะที่นับจากการเริ่มมีประจำเดือนไปจนถึงมีการตกไข่ ใช้เวลานานประมาณ 13-15 วัน

2. ระยะตกไข่ ( Ovulation stage ) เป็นระยะสั้นๆ ที่ไข่หลุดออกจากรังไข่ อยู่ประมาณวันที่ 13-15 ของรอบเดือน (บางคนอาจช้าหรือเร็วกว่าปกติ)

3. ระยะหลังตกไข่ ( Corpus luteum stage ) นับจากการตกไข่ เป็นระยะที่มีการฝังตัวที่โพรงมดลูก ไปจนถึงเริ่มมีประจำเดือน ใช้เวลานานประมาณ 13-15 วัน

4. ระยะมีประจำเดือน ( Menstruation flow stage ) ใช้เวลานานประมาณ 3-4 วัน

หลังจากสิ้นสุดระยะเอมบริโอแล้ว การเจริญเติบโตในระยะต่อมาของสัตว์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง

ลักษณะมากนักแต่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม จากการศึกษาเกี่ยวกับแบบแผนการเจริญเติบโตของสัตว์พบว่ามี

แบบแผนแตกต่างกัน 4 แบบ คือ

1. Without metamorphosis เป็นการเจริญเติบโตของตัวอ่อนที่แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะไป จากเดิมเลย คือตัวอ่อนที่เกิดมามีลักษณะเหมือนตัวโตเต็มวัยเกือบทุกอย่าง เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า พบในสัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม แมลงบางชนิด เช่น แมลงสามง่าม แมลงหางดีด

2. Gradual metamorphosis เป็นการเจริญเติบโตของตัวอ่อนที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป คือตัวอ่อนที่ฟักออกจากไข่มีรูปร่างคล้ายกับพ่อแม่ เพียงแต่ตัวเล็กกว่าและมีอวัยวะบางอย่างไม่ครบ เช่น ยังไม่มีปีก อวัยวะสืบพันธุ์ จากนั้นจะมีการลอกคราบหลายครั้งจนกระทั่งมีอวัยวะครบ ตัวอ่อนของแมลงในระยะนี้เรียกว่า Nymph อาศัยบนบก เช่น ตั๊กแตน แมลงสาบ จิ้งหรีด เหา ปลวก จักจั่น เพลี้ย

3. Incomplete metamorphosis เป็นการเจริญเติบโตของตัวอ่อนแบบไม่สมบูรณ์ มีลักษณะคล้ายกับ Gradual metamorphosis ต่างกันที่ตัวอ่อนมีลักษณะคล้ายตัวเต็มวัยบ้างแล้ว แต่อาศัยอยู่ในน้ำและหายใจด้วยเหงือก เรียกตัวอ่อนนี้ว่า Naiad ต่อมาตัวอ่อนจะขึ้นจากน้ำและลอกคราบกลายเป็นตัวโตเต็มวัยซึ่งอาศัยอยู่บนบก และหายใจโดยใช้ระบบท่อลม เช่น แมลงปอ ชีปะขาว

4. Complete metamorphosis เป็นการเจริญเติบโตของตัวอ่อนที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างครบ 4 ขั้นตอน คือเริ่มจากไข่ ( Egg ) แล้วฟักเป็นตัวอ่อน ซึ่งมีลักษณะคล้ายหนอน ( larva ) ซึ่งกินอาหารเก่งและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ต่อมาจะมีการสร้างสารมาหุ้มตัวเอาไว้กลายเป็นดักแด้ ( pupa ) จากการศึกษาพบว่าตัวอ่อนในระยะนี้จะหยุดการเคลื่อนไหวและหยุดกินอาหาร แต่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างตลอดเวลาจนกระทั่งกลายเป็นตัวโตเต็มวัย ( Adult or Imago ) เช่น ผีเสื้อ ด้วง ยุง แมลงวัน ผึ้ง ต่อ แตน มด ไหม

การตั้งครรภ์และการคลอด

เมื่อ เกิดการตกไข่ในช่วงกึ่งกลางของรอบเดือน ถ้ามีการร่วมเพศตัวออสุจิที่เข้าไปในช่องคลอดจะเข้าไปผสมกับไข่ในบริเวณท่อ นำไข่ ภายใน 10-12 ชั่วโมงจะเกิดการปฏิสนธิกลายเป็นไซโกต (zygote) และไซโกตจะเจริญเติบโตเป็นเอมบริโอ (Embryo) เคลื่อนไปตามผนังมดลูกชั้นในและฝังตัวหลังจากเกิดการปฏิสนธิแล้วประมาณ 7 วัน จนมีอายุ 8 สัปดาห์จะมีลักษณะทุกอย่างเหมือนคนเรียกว่า ฟีตัส (Fetus) ซึ่งจะอยู่ในท้องแม่จนครบ 9 เดือนเศษจึงคลอดออกมา

อายุครรภ์ (สัปดาห์)


สิ่งที่ปรากฎขึ้น

3


หัวใจ สมองและไขสันหลัง

4-5


ปุ่มตา ปุ่มแขน-ขา

6


หู

7


เพดานปาก

8


มีอวัยวะเพศภายนอก มีกระดูกแข็งขึ้นแทนกระดูกอ่อน มีอวัยวะทุกอย่างเหมือนคนแต่บางอวัยวะยังปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้

9-36


มีทุกอย่างสมบูรณ์พร้อมที่จะทำงานได้

การคลอด ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมน oxytocin มากระตุ้นมดลูกชั้นกลางให้บีบตัวอย่างแรง เกิดการ หดตัวของกล้ามเนื้อหน้าท้องทำให้ปากมดลูกเปิดดันทารกออกมาทางช่องคลอด

ความผิดปกติของการตั้งครรภ์

1. การเกิดลูกฝาแฝด (twins) มี 2 แบบ คือ

1.1 แฝดร่วมไข่ (identical twins) เกิดจากไข่ 1 ใบผสมกับอสุจิ 1 ตัว เป็นไซโกตแล้วไซโกตแบ่งตัวออกเป็น 2 ส่วนหรือมากกว่า 2 จะมีเพศเดียวกัน รูปร่างลักษณะเหมือนกัน อุปนิสัยสติปัญญาใกล้เคียงกัน และความสามารถต่างๆ จะใกล้เคียงกันมาก

1.2 แฝดต่างไข่ (fraternal twins) เกิดจากไข่มากกว่า 1 ใบ ผสมกับอสุจิมากกว่า 1 ตัว ทำให้เกิดไซโกตและเอมบริโอมากกว่า 1 แฝดแบบนี้อาจเป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศก็ได้

2. การแท้ง หมายถึง การที่ทารกคลอดก่อนที่อายุครรภ์จะครบ 28 สัปดาห์ หรือน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,000 กรัม

3. การคลอดก่อนกำหนด หมายถึง การที่ทารกคลอดในช่วงอายุครรภ์ 28-37 สัปดาห์

4. การท้องนอกมดลูก คือ การที่ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว ไปฝังตัวในบริเวณอื่นที่ไม่ใช่มดลูก เช่น ช่องท้อง ปีกทดลูก ทำให้ผู้เป็นแม่มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงต้องพบแพทย์ด่วนและอาจมีอันตราย ได้

5. การพิการแต่กำเนิด เกิดจาก ยา สารเคมี การติดเชื้อ แอลกอฮอล์ ความผิดปกติของหน่วยพันธุกรรม



ประชากรกับการคุมกำเนิด

1. การคุมกำเนิดแบบถาวร โดยการทำหมันชาย-หญิง

2. การคุมกำเนิดแบบชั่วคราว เช่น

- การกินยาคุมกำเนิด - การกินยาเม็ดคุมกำเนิดหลังการร่วมเพศ

- การฉีดยาคุมกำเนิด - การใส่ห่วงอนามัย

- ยาเม็ดสอดช่องคลอด - ฝังยาคุมกำเนิด

- การใช้ยาพ่นจมูก - ยาเม็ดฟองฟู่

-แสตมป์ยาคุมกำเนิด - การใช้ถุงยางอนามัย

-การนับระยะปลอดภัย




Edit this page (if you have permission) |
Google Docs -- Web word processing, presentations and spreadsheets.