Custom Search

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การปกครองระบอบประชาธิปไต1

การปกครองระบอบประชาธิปไตย

 

 

แนวความคิดที่จะนำเอารูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยมาใช้ในประเทศไทย ได้เริ่มต้นขึ้นให้เห็นเป็นรูปธรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระองค์ทรงดำเนิน รัฐประศาสโนบาย  เพื่อเป็นการปูพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างค่อยเป็นค่อยไปดังเช่น โปรดเกล้าฯ  ให้ตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์ เพื่อถวายคำปรึกษาและความคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการปกครอง

              ในปีพุทธศักราช 2417 หรือการปฏิรูประบบราชการ ปีพุทธศักราช 2435 และที่สำคัญคือการเลิกทาส ซึ่งนับเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย

              ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว กระแสความต้องการการเปลี่ยนแปลงการปกครองทวีความรุนแรงขึ้น พระองค์ทรงจัดตั้งเมืองสมมุติขึ้นมีชื่อว่า" ดุสิตธานี " ซึ่งตั้งอยู่ภายในบริเวณพระราชวังดุสิต เพื่อทดลองการปกครองบ้านเมืองในระบบอบประชาธิปไตย

              พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติในปีพุทธศักราช 2468  พระองค์ทรงตั้งพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะวางรากฐานการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย   ดังปรากฏหลักฐานและเอกสารการเตรียมการพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนหลายครั้ง แต่ถูกยับยั้งจากที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาว่า ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร

              ช่วงเวลานั้นกระแสการเรียกร้องการปกครองมีความรุนแรงมากขึ้นจนในที่สุดก็มีกลุ่มที่เรียกตนเองว่า"คณะราษฎร์"ได้ร่วมกันดำเนินการเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในวันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475

              หลังจากนั้น ประเทศไทยได้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจนถึงปัจจุบัน

 

 

การปกครองระบอบเผด็จการ

 

 

 

การปกครองแบบเผด็จการ หมายถึง การปกครองที่ให้ความสำคัญแก่อำนาจรัฐและผู้ปกครอง อำนาจรัฐจะอยู่เหนือเสรีภาพของบุคคล ผู้ปกครองอาจเป็นคนเดียว คณะบุคคลเดียว หรือพรรคการเมืองเดียว ซึ่งจะถือประโยชน์ของรัฐมากกว่าของประชาชน ซึ่งลักษณะการปกครองแบบเผด็จการ  คือ  ไม่สนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองของประเทศ  /จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง / ยึดหลักความมั่นคง ปลอดภัยของรัฐเป็นสำคัญ ยกย่องอำนาจและความสำคัญขอรัฐเหนือเสรีภาพของประชาชน  / ยึดหลักรวมอำนาจการปกครองไว้ที่ส่วนกลางของประเทศ ให้อำนาจอยู่ในมือผู้นำเต็มที่ / ยึดหลักการใช้กำลัง การบังคับ และความรุนแรง เพื่อควบคุมประชาชนให้ปฏิบัติตามความต้องการของผู้นำ  / ประชาชนต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้นำอย่างเคร่งครัด ไม่มีสิทธิโต้แย้งในนโยบายหรือหลักการของรัฐได้  และสร้างความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิตให้แก่ประชาชน จนประชาชนเกิดความหวั่นวิตกเกรงกลัวอันทำให้อำนาจรัฐเข้มแข็ง

 โดยรูปแบบการปกครองแบบเผด็จการ  แบ่งเป็น  2  รูปแบบคือ  เผด็จการอำนาจนิยม มีลักษณะ คือ  อำนาจทางการเมืองเป็นของผู้ปกครอง ประชาชนไม่มีสิทธิ /  ควบคุมสิทธิเสรีภาพของประชาชนอันเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย  /ยอมให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในครอบครัว การนับถือศาสนา การดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพ โดยที่รัฐมีสิทธิแทรกแซง  และเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ มีลักษณะ ควบคุมอำนาจประชาชนทั้งทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมในการปกครองใด ๆ ทั้งสิ้นรับเข้าดำเนินงานทางด้านเศรษฐกิจทั้งหมด โดยประชาชนเป็นเพียงผู้ให้แรงงาน /มีการลงโทษอย่างรุนแรงหากประชาชนฝ่าฝืนหรือต่อต้าน ประชาชนต้องเชื่อฟังรัฐบาลผู้นำผู้ปกครองอย่างเคร่งครัด  และการปกครองแบบนี้   ได้แก่ การปกครองของรัฐคอมมิวนิสต์ในปัจจุบัน

ประชาธิปไตยทางตรง คือ ให้ประชาชนของประเทศใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง ในทางปฏิบัติจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อประเทศนั้นมีจำนวนประชากรไม่มากนักสามารถร่วมประชุมปรึกษาหารือกันได้โดยตรงไม่ตองมีตัวแทน

ประชาธิปไตยทางอ้อม คือ ประชาชนจะเลือกผู้แทนมาทำหน้าที่ปกครองประเทศแทนตน โดยให้เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในด้านต่าง ๆ เช่น อำนาจนิติบัญญัติ เป็นต้น ในปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ก็ใช้หลักการของระบอบประชาธิปไตยทางอ้อมทั้งสิ้น ซึ่งปรากฏในรูปแบบต่างๆ กัน คือ  ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา  /   ประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี  และการปกครองแบบกึ่งประธานาธิบดีกึ่งรัฐสภา

ข้อจำกัดเกี่ยวกับสิทธิ

 

   การใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชนจะต้องมีข้อจำกัด หรืออยู่ภายใต้ของเขตของกฎหมาย รัฐจำเป็นต้องจำกัดการใช้สิทธิของประชาชน เพราะสาเหตุดังนี้

              1.   การรักษาความมั่นคงของชาติ   ป้องกันมิให้การใช้สิทธิของประชาชนกระทบกระเทือนต่อสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์

              2. การรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง หรือศีลธรรมอันดีงามของประชาชน   ป้องกันมิให้มีการปลุกปั่นยุยงให้ประชาชนเกิดความตื่นกลัว หรือก่อความไม่สงบ หรือเผยแพร่สิ่งตีพิมพ์อนาจาร เป็นต้น

              3. การป้องกันมิให้ประชาชนละเมิดสิทธิซึ่งกันและกัน เช่นการรุกล้ำอาคารสถานที่ การใช้เสียงดังเกินควร และการปล่อยเขม่าควันฝุ่นละอองของโรงงานอุตสาหกรรม    เป็นต้น

              4. การสนับสนุนให้รัฐสามารถปฏิบัติงานได้โดยสะดวก   เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมและความเป็นธรรมในสังคม  เช่น เมื่อเกิดสงคราม รัฐจะจำกัดสิทธิของประชาชน โดยห้ามออกนอกบ้านเป็นบางเวลาหรือการเวนคืนที่ดินของประชาชนมาสร้างถนนหรือทางด่วน เป็นต้น