การป้องกันคนในครอบครัว และโรงเรียน
ควรปฏิบัติดังนี้
1. ให้ความรู้เกี่ยวกับโทษ พิษภัย และการระบาดของสารเสพติดแก่สมาชิกในครอบครัวและในโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ
2. แนะนำ ตักเตือน ให้ความรู้แก่สมาชิกของตนให้เกิดความตระหนักถึงพิษภัยของสารเสพติด
3. สอดส่องดูแลสมาชิกของตนเองอย่างสม่ำเสมอ
4. ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สมาชิกด้วยการสูบบุหรี่และสารเสพติดใดๆ
5. เป็นที่ปรึกษาที่ดีช่วยแก้ปัญหาแก่สมาชิก
6. ส่งเสริมให้สมาชิกใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
7. ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการปราบปราม
8. ป้องกันครอบครัว ควรสอดส่องดูแลเด็กและบุคคลในครอบครัวหรือผู้ที่อยู่ร่วมกัน
การป้องกันชุมชน
1. ศึกษาและทำความรู้จักกับชุมชนที่อยู่อาศัย
2. สร้างค่านิยมใหม่ๆที่ดีให้กับสังคม
3. รับแต่ค่านิยมที่ดีๆและถูกต้อง
4. ตั้งกลุ่มหรือชมรมร่วมกันป้องกันและต่อต้านสารเสพติด
5. เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และช่วยเหลือเพื่อนในชุมชนที่ทุกข์ยากละมีปัญหา
6. บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
มาตรการทางกฏหมายเกี่ยวกับสารเสพติด
กำหนดให้ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวมีความคิดและต้องรับโทษ มีรายละเอียดดังนี้
- กำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้ขายสารระเหย ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ห้ามให้ผู้ใดขายสารระเหยแก่ผู้ที่มีอายุไม่เกิน 17 ปี ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ห้ามผู้ใดจงใจชักนำ ยุยงส่งเสริม หรือใช้อุบายหลอกลวงบุคคลอื่น ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ห้ามไม่ให้ผู้ใดใช้สารระเหยบำบัดความต้องการของร่างกายหรือจิตใจ ฝ่าฝืนต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สถานที่ให้คำปรึกษาและแนะนำการบำบัดรักษาขั้นต้น
1. สถานที่ให้คำปรึกษาแนะนำ
- สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย
- สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์
- สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย
- สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามและป้องกันยาเสพติด
2. สถานบำบัด
- โรงพยาบาลตำรวจ
- โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
- สถาบันธัญญารักษ์
- โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า
- ศูนย์บริการสาธารณสุข
- โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง