Custom Search

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การปฏิวัติอุตสาหกรรม2

     การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)
   การปฏิวัติอุตสาหกรรม หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงวิธีการและระบบการผลิตจากการใช้แรงงานคนและสัตว์รวมทั้งพลังงานตามธรรมชาติ มาเป็นการใช้เครื่องมือและเครื่องจักรกลแบบง่ายๆ จนถึงแบบสลับซับซ้อน ทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพรวดเร็วขึ้น

 

พัฒนาการของการปฏิวัติอุตสาหกรรม

    เริ่มจากการนำเทคนิคใหม่ๆมาใช้ในการผลิต เกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษเป็นประเทศแรก ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และประกฎผลอย่างเต็มที่ในศตวรรษที่ 19 ต่อจากนั้นได้ขยายไปยังประเทศต่างๆ ในยุโรปตะวันตก อเมริกา รุสเซีย และทั่วโลกในเวลาต่อมาส่วนใหญ่ประเทศในเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา เพิ่งมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศของตนอย่างจริงจัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

การพัฒนาอุตสาหกรรมได้เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษป็นประเทศแรกเพราะมีปัจจัยประกอบคือ

1. มีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย จึงทำให้มีเสถียรภาพทางการเมือง

2. มีทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นต่องานอุตสาหกรรมอย่างสมบูรณ์ คือ เหล็กและถ่านหิน

3. มีเงินทุนและระบบการเงินที่มั่นคง

4. มีกองทัพเรือที่เข้มแข็งและเป็นมหาอำนาจทางทะเล

5. มีอาณานิคมมาก ซึ่งกลายเป็นแหล่งวัตถุดิบและตลาดการค้าด้วย

6. ส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

สาเหตุของการปฏิวัติอุตสาหกรรม
- ความก้าวหน้าของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์
- การสำรวจค้นพบทางทะเลทำให้พบดินแดนใหม่ๆ
- จำนวนประชากรเพิ่มมาขึ้น ความต้องการสินค้ามีมากขึ้น
- ระบบเงินทุนและการธนาคารที่ก้าวหน้ามั่นคงขึ้น

 

 

การปฏิวัติอุตสาหกรรมแบ่งออกเป็น 2 สมัย คือ
สมัยแรก ได้ชื่อว่า สมัยแห่งพลังงานไอน้ำ มีลักษณะสำคัญคือ
- ใช้เทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อน
- เน้นวงการอุตสาหกรรมทอผ้า
- เริ่มนำเหล็กเข้ามาเป็นพื้นฐานการผลิต
สมัยที่สอง ได้ชื่อว่า สมัยแห่งอุตสาหกรรมเหล็กกล้า มีผลงานที่สำคัญคือ
- การผลิตเหล็กกล้าแทนเหล็กธรรมดา
- การใช้ก๊าซ ไฟฟ้า และน้ำมันเป้นพลังงานแทนถ่านหิน ได้แก่ ผลงานของไมเคิล ฟาราเดย์ ผู้ประดิษฐ์ไดนาโม โธมัส เอดิสัน ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า
- การนำเครื่องจักรอัตโนมัติมาใช้ในวงการอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิต
- ความก้าวหน้ทางอุตสาหกรรมเคมี
- การผลิตโลหะเบาและโลหะผสมเหล็ก
- ความก้าวหน้าในวงการคมนาคมขนส่งและการสื่อสาร โดยมีการประดิษฐ์ยานพาหนะใหม่ๆ เช่นรถยนต์ เครื่องบิน โยวิลเบอร์และออร์วิลล์ ไรท์ การขยายตัวในวงการสื่อสารโดย อเล็กซานเดอร์ แกรแฮม เบลล์ ประดิษฐ์เครื่องโทรศัพท์ และ กูกิลโม มาร์โคนี ประดิษฐ์วิทยุโทรเลข
- การขยายตัวขององค์การเงินทุนซึ่งสืบเนื่องมาจากการดำเนินงานธุรกิจที่ออกมาในรูปบริษัท จึงทำให้เกิดการระดมทุนซึ่งจำเป็นกู้ยืมจากธนาคารและองค์การเงินทุนต่างๆ


ผลงานการค้นคว้าที่สำคัญของนักประดิษฐ์เครื่องจักรกลที่สำคัญ
- จอห์น เคย์ ประดิษฐ์กี่กระตุกช่วยให้การทอผ้าเร็วขึ้นเป็นสองเท่า
- เจมส์ ฮาร์กรีฟส์ ประดิษฐ์เครื่องปั่นด้ายให้ชื่อว่า "Spinning Jenny"
- ริชาร์ด อาร์คไรท์ ประดิษฐ์เครื่องปั่นด้ายโดยใช้พลังน้ำมีชื่อว่า "Water Frame"
- แซมมวล ครอมป์ตัน ประดิษฐ์เครื่องปั่นด้ายมีชื่อว่า "Mule"
- เอไล วิทนี ประดิษฐ์เครื่องแยกเมล็ดฝ้ายออกจากใย
- เจมส์ วัตต์ สามารภนำพลังงานไอน้ำมาใช้กับเครื่องจักรกล และได้นำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างแพร่หลาย
- เฮนรี คอร์ท ค้นพบวิธีทำถ่านหินให้บริสุทธิ์เป็นเชื้อเพลิงในการหลอมเหล็ก
- ยอร์ช สตีเฟนสัน ประดิษฐ์หัวรถจักรไอน้ำ "Rocket"
- โรเบิร์ต ฟุลตัน นำพลังงานไอน้ำมาใช้กับเรือ
- แซมมวล คูนาร์ต สามารถเดินเรือกลไฟข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคได้

    

ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม

     ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้มนุษย์ได้รับความสำเร็จ ความสะดวกสบาย ที่สามารถนำมาตอบสนองความต้องการในปัจจัยสี่ของมนุษย์ได้อย่างมากมาย จนทำให้มีความรู้สึกว่าโลกเรานี้แคบลง ทำให้บางท่านกล่าวว่าเป็นยุค "โลกานุวัตร" ซึ่งหมายถึงโลกแห่งข้อมูลข่าวสารต่างๆนั่นเอง

ผลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในด้านต่างๆ
ในด้านเศรษฐกิจ
- เกิดระบบโรงงาน
- เกิดระบบนายทุน
- เกิดการขยายตัวทางอุตสาหกรรมและเพิ่มรายได้ของประชากร
- ก่อให้เกิดความเจริญทางด้านการคำระกว่างประเทศ และมีการแข่งขันกันเพื่อความยิ่งใหญ่
- ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันทางเศรษฐกิจ
- เกิดความเหลื่อมล้ำกันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศและทำให้มีประเทศด้อยพัฒนาและประเทศพัฒนาเกิดขึ้น
ในด้านสังคม
- จำนวนประชากรเพิ่มขึ้น
- เกิดเมืองใหญ่และแหล่งอุตสาหกรรม
- สภาพความเป็นอยู่และการทำงานของกรรมกรไม่ดี เกิดปัญกาแหล่งเสื่อมโทรม
- เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคม มีชนชั้นกลางและชนชั้นกรรมาชีพในสังคม
- มีการใช้เครื่องจักรเป็นเครื่องมือในการทำสงคราม
ในด้านการเมือง
- ชนชั้นกลางได้อำนาจทางการเมือง
- กรรมกรได้รับการเลื่อนฐานะเป็นกำลังสำคัญทางการเมืองภายหลังการก่อตั้งสหบาลกรรมกร (Trade Union หรือ Labour Union) แล้วซึ่งต่อมาได้ก้าวไปสู่การก่อตั้งพรรคกรรมกรขึ้น
- รัฐบาลได้ช่วยเหลือในการปรับปรุงความเป็นอยู่ของกรรมกรให้ดีขึ้น
- เกิดลัทธิจักรวรรดินิยม อันสืบเนื่องมาจากความต้องการตลาดการค้าเพิ่มขึ้น
ในด้านสติปัญญา ได้เกิดแนวความคิดที่แตกต่างกัน 2 ลัทธิ คือ
- ลัทธิเสรีนิยม (Liberalism) ผู้ก่อตั้งลัทธินี้คือ อดัม สมิธ เขาเน้นในเรื่องการดำเนินงานธุรกิจการค้าแบบเสรี (Laissez Faire) โดยรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องน้อยที่สุด
- ลัทธิสังคมนิยม (Socialism) ผู้ก่อตั้งลัทธินี้คือ คาร์ลมาร์กซ์ ซึ่งเขาเน้นในการที่ให้รัฐบาลเป็นเจ้าของกิจการสำคัญ เช่น เหมืองแร่ รถไฟ ส่วนกิจการเล็กๆ ให้เอกชนเนินการเอง นักสังคมนิยมที่สำคัญนอกจากมาร์กซ์ ได้แก่ โรเบิร์ต โอเวน, ฟรีดิช เองเกลส์

 

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์

    จากการสำรวจทางทะเลและการปฏิวัติทางการค้า ในระหว่างศตวรรษที่ 12-16 ทำให้เกิดการเรียนรู้ รู้จักตนเองและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติมากขึ้น การค้นคว้าทดลองและผลการประยุกต์สิ่งต่างๆถูกนำมาใช้ จนทำให้สังคมมีความก้าวหน้า โดยเฉพาะด้านวัตถุและเทคนิคต่างๆ ความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ดังกล่าวเรียกว่า "การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์" ซึ่งเกิดจากการค้นคว้าทดลองของชาวตะวันตก      การปฏิวัติวิทยาศาสตร์นับตั้งแต่มนุษย์ก้าวเข้าสู่สมัยใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 15-18 ไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่เท่ากับการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16-17 จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์คือ การค้นพบทฤษฎีสุริยจักรวาล ของ นิโคลัส โคเปอร์นิคัส (ค.ศ.1473-1543) นักวิทยาศาสตร์ชาวโปแลนด์ ผู้แสดงความคิดว่าดวงอาทิตย์และคำสอนของพระในศาสนาคริสต์ที่เชื่อว่า พระเจ้าสร้างโลก สร้างดวงอาทิตย์ โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล   แนวคิดทางปรัชญาทั้ง 2 แนวได้นำไปใช้ในสังคมมนุษย์ ทั้งในด้านการเมือง ศาสนา และเศรษฐกิจ ในยุคการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ จึงได้ชื่อว่า ยุคแห่งเหตุผล (Age of Reason) หรือ ยุคแห่งภูมิธรรม (The Enlightenment) ทำให้เกิดความก้าวหน้าในวิทยาศาสตร์ด้านต่างๆ เช่น ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ รวมทั้งการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผมมายังสังคมมนุษย์ในยุคปัจจุบันภายหลังจากที่ได้มีการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์แล้ว ทำให้วิทยาศาสตร์มีความสำคัญขึ้นมา 

ความสำคัญของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์

1. ทำให้ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆด้มากขึ้น
2. ทำให้มนุษย์มีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง
3. ทำให้มนุษย์มีความเชื่อมั่นในการใช้ปัญญาและความสามารถ
4. ทำให้มนุษย์มีความเชื่อมั่นในความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
5. ทำให้มนุษย์มีความเชื่ออย่างมีเหตุผล ไม่งมงาย และชอบค้นคว้า

      นอกจากนี้วิทยาศาสตร์ยังทำให้เกิด "กบฎทางความคิด" การปฏิปักษ์ต่อกรอบความคิดของคริสต์ศาสนาได้ขยายมากขึ้นเมื่อ มาร์ติน ลูเธอร์ บาทหลวงชาวเยอรมันทำการปฏิรูปศาสนา ค.ศ.1517 โดยทำการประท้วงการปฏิบัติบางประการของฝ่ายคาทอลิก จัดตั้งนิกายลูเธอร์แรนขึ้นมา (ส่วนหนึ่งของโปรเตสแตนท์) ทำให้การศึกษาวิชาเทววิทยาลดบทบาทลง เปิดโอกาสให้ทำการศึกษทยาศาสตร์มากขึ้น โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกลงโทษอีกต่อไป

 

 

พัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ยุคโบราณ

ยุคของอียิปต์

-ทำปฏิทินมาประกอบการเพาะปลูก
-ประดิษฐ์ตัวอักษรฮียโรกลิฟิค เขียนบนแผ่นกระดาษ
-ปีระมิด
-การแพทย์ (การทำมัมมี่)
-นาฬิกาน้ำ นาฬิกาแดด

ดินแดนเมโสโปเตเมีย เป็นที่อาศัยของชนเผ่าต่างๆ เช่น

-สุเมเรียน     -บาบิโลเนีย      -อัสซิเรียน       -บาบิโลเนียนใหม่

อารยธรรมเมโสโปเตเมีย

-จุดเริ่มต้นของการประดิษฐ์ตัวอักษรลิ่ม (คุนิฟอร์ม)
-รู้จักใช้ล้อเลื่อน
-เพาะปลูก
-ทดน้ำ
-แบ่งกลุ่มดาวออกเป็น 12 กลุ่ม
-ทำนายการเกิดจันทรุปราคา และสุริยุปราคา

ยุคของจีน

-ภาชนะดินเผา
-นำสัมฤทธิ์มาพัฒนาเป็นเครื่องใช้ อาวุธ
-เลี้ยงไหม
-ทอผ้า
-ทำปฏิทินปีหนึ่งมี 365 กับ 1/4 วัน
-แบ่งฤดูออกเป็น 4 ฤดู
-เข็มทิศ
-มาตราชั่งวัด (ราชวงศ์จิ๋น)
-นำถ่านหินมาใช้ (ก่อนชาวตะวันตก)
 

      นอกจากอารยธรรมโบราณอย่างอียิปต์และเมโสโปเตเมีย และอารยธรรมจีนแล้ว ในเอเชียก็ยังมีแหล่งอารยธรรมอีกแห่งคืออารยธรรมลุ่มน้ำสินธุของอินเดีย ซึ่งได้สร้างสมไว้แก่โลกมากมาย เช่น การรู้จักสำรวจภูมิประเทศ การสร้างเมืองที่มีการวางผังเมืองอย่างดี มีถนน ท่อระบายน้ำสร้างด้วยอิฐ

ยุคของกรีก เป็นอารยธรรมโบราณอีกแห่งหนึ่งที่สร้างสมไว้ให้แก่โลกมากมาย มีความเจริญหลายแขนง เนื่องจากมีนักปราชญ์หลายท่าน เช่น

เทลีส

-พบอำนาจไฟฟ้า
-พบการเกิดสุริยุปราคาที่ถูกต้อง
-นำทฤษฎีเรขาคณิตมาใช้

พิธากอรัส

-โลกประกอบด้วยธาตุ 4
-โน๊ตเพลงจากเชือก

เพลโต

-ตั้งโรงเรียนขึ้นเป็นครั้งแรก
-สร้างการศึกษาให้เป็นระบบ

อริสโตเติล ป็นนักปรัชญาที่ได้สร้างสมวิทยาการแก่โลกมากมายและเขียนตำราหลายแขนง

-คณิตศาสตร์
-ฟิสิกส์
-ชีววิทยา
-ดาราศาสตร์
-ชีวิตพืชและสัตว์

อาร์คีมีดีส นำวิชาเรขาคณิตมาปรับปรุงใช้กับเครื่องทุ่นแรง

-คานดีด
-คานงัด
-รอก
-การหาพื้นที่วงกลม
-การหาพื้นที่กรวย
-สว่าน
-การลอยการจมของวัตถุ

นอกจากนักวิทยาศาสตร์แล้ว ยังมีนักภูมิศาสตร์ด้วยคือ พโตเลมี ผลงานคือ

-นำเส้นรุ้ง เส้นแวง มาใช้ในการเขียนแผนที่
-โลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล
-เริ่มเขียนแผนที่อินเดีย จีน ยุโรปตอนเหนือ
-การโคจรของดาวเคราะห์รอบโลกเป็นวงรี

นอกจากชาวกรีกแล้ว ชาวโรมันก็เป็นอีกชาติหนึ่งที่มีการพัฒนาต่อ จนมีการกล่าวว่า "โรมัน" คือ "ทายาททางวัฒนธรรมของกรีก" ได้แก่

-พลินี พิสูจน์ว่าโลกกลม
-ผลิตคอนกรีต
-สร้างถนนที่แข็งแรง
-ด้านการแพทย์ รู้จักการผ่าตัด (นำทารกออกทางหน้าท้องได้)
-ตั้งโรงพยาบาล
-ตั้งโรงเรียนแพทย์

(ซีซ่า เป็นทารกคนแรกที่ออกทางหน้าท้อง)

วิทยาศาสตร์ยุคมืด

     ยุคนี้ไม่สนับสนุนการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ และต่อต้านวิทยาศาสตร์ของกรีกโดยถือว่าเป็นความรู้ผิดๆ เป็นยุคเสื่อมของโรมัน  ช่วงนี้อิสลามมักให้ความสนใจกับวิทยาศสตร์มากขึ้น โดยศึกษาจากอียิปต์และกรีกโดยพ่อค้าอาหรับนำติดตัวมา  ชาวอาหรับสนใจในการเล่นแร่แปรธาตุ เพราะเชื่อว่าโลหะทุกประเภทแปลสภาพเป็นโลหะประเภทอื่นได้ มีความรู้เกี่ยวกับกรดดินประสิว กรดกำมะถัน กรดเกลือ ซึ่งใช้ในงานอุตสาหกรรม

 

 

วิทยาศาสตร์สมัยฟื้นฟูวิทยาการ

นิโคลัส คอร์เปอร์นิคัส ค้นพบ  สุริยจักรวาลมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง  และพบว่าโลกเป็นศูนย์กลาง

โจน์ฮันเนส เคปเลอร์  เป็นผู้นำคณิตศาสตร์เข้ามาช่วยในการศึกษาเรขาคณิตและพบวงโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์เป็นรูปวงรี

กาลิเลโอเป็นผู้พิสูจน์แรงโน้มถ่วงและสร้างกล้องโทรทรรศน์ช่วยสนับสนุนทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส

โยฮัน กูเตเบอร์ก    เป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีด

วิทยาศาสตร์ก่อนเข้าสู่ยุคปัจจุบัน

ทอร์เชลลี  เป็นผู้สร้างบารอมิเตอร์ วัดความกดอากาศ

เซอร์ ไอแซค นิวตัน เป็นผู้ค้นพบรุ้งเจ็ดสี ที่เกิดจากการหักเหของแสงและเป็นผู้อธิบายกฎแห่งแรงโน้มถ่วง

พาราเซลวัส    เป็นผู้ค้นคว้าเกี่ยวกับแร่แปรธาตุ นำไปใช้รักษาโรค

เจมส์ วัตต์    เป็นผู้ดัดแปลงเครื่องสูบน้ำของ โธมัส นิวโคเมน จนให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น และมีพลังงานออกมาเป็นพลังงานน้ำ หลักของวทยาศาสตร์อันนี้นำมาพัฒนาการขนส่งด้านต่างๆจนก้าวหน้าถึงปัจจุบัน

สรุป

การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ เป็นการค้นคว้าทดลองและการประยุกต์สิ่งต่างๆมาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกสบายของมนุษย์ จนทำให้สังคมมีความก้าวหน้า โดยเฉพาะด้านวัตถุและเทคนิคต่างๆ  ซึ่งการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์นั้นเริ่มเข้ามาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่  15-18  และมีช่วงของการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์ดังได้กล่าวมาขั้นต้นแล้ว อย่างไรก็ตามการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์นับเป็นการปฏิวัติสิ่งต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกต่อมนุษยชาติ