ตำนานดอกกุหลาบ
กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย
ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย
ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรด์จีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย
กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม
บางตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง
กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ
ตำนานดอกกุหลาบในเมืองไทย
กุหลาบมาจากคำว่า "คุล" ในภาษาเปอร์เชีย แปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" และเข้าใจว่าจากเปอร์เซียได้แพร่เข้าไปในอินเดีย เพราะในภาษาฮินดีมีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก
กุหลาบเข้ามาเมืองไทยสมัยใดไม่ทราบแน่ชัด แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บันทึกไว้ว่าได้เห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และที่แน่นอนอีกแห่งก็คือ ในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ กล่าวถึงกุหลาบไว้ว่า
กุหลาบกลิ่นเฟื่องฟุ้ง
หอมรื่นชื่นชมสอง
นึกกระทงใส่พานทอง
หยิบรอจมูกเจ้า เนืองนอง
สังวาส
ก่ำเก้า
บ่ายหน้าเบือนเสีย
สำหรับตำนานดอกกุหลาบของไทยเล่ากันว่า เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งนางได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มากแต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาบให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา
กุหลาบขาว กับ กุหลาบแดง สีไหนเกิดก่อน ?
มีหลายตำนานเล่าถึงการเกิดกุหลาบสีขาวและกุหลาบสีแดงไว้แตกต่างกัน ตำนานหนึ่งเล่าว่า กุหลาบขาว เกิดขึ้นก่อน กุหลาบแดง เดิมทีมีนกไนติงเกลตัวหนึ่งมาหลงรักเจ้าดอกกุหลาบขาวแสนสวย ขณะที่มันกำลังจะโอบกอดดอกกุหลาบด้วยความรักนั้นเอง หนามกุหลาบก็ทิ่มแทงที่หน้าอกของมัน หยดเลือดของเจ้านกไนติงเกลเลยทำให้ดอกกุหลาบสีขาวกลายเป็นสีแดง เลยมีดอกกุหลาบสีแดงนับแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนอีกตำนานหนึ่งก็เล่าว่ากุหลาบสีแดงใน สวนอีเดน เกิดจาการจุมพิตของ อีฟ เจ้าดอกกุหลาบขาวที่หญิงสาวจุมพิต เลยเกิดอาการขวยเขินจึงเปลี่ยนเป็นสีแดง
นอกจากนี้ ความหมายของความรักในศาสนาคริสต์ ถือว่ากุหลาบสีขาวแทนความบริสุทธิ์ของ พระแม่มาเรีย และกุหลาบสีแดงเกิดจากหยาดพระโลหิตของ พระเยซูเจ้า เมื่อถูกสวมมงกุฎหนาม มันจึงเป็นสัญลักษณ์ของผู้ประกาศศาสนาที่พลีชีพเพื่อพระผู้เป็นเจ้า
สีกุหลาบสื่อความหมาย
ในวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก ดอกกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ และของกำนัลของวันนี้ ดังนั้นเวลาที่คิดจะให้ดอกกุหลาบแก่ใครสักคน เราก็น่าจะรู้ความหมายของสีอันเป็นสื่อความหมายของดอกกุหลาบไว้บ้างก็น่าจะดี ซึ่งก็จะมีความดังนี้
สีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปราถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ
สีชมพู สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์
สีขาว สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง
สีเหลือง สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ
สีขาวและแดง สื่อความหมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
กุหลาบตูม สื่อความหมายถึง ความงามและความเยาว์วัย
ช่อกุหลาบสื่อความหมาย
จำนวนดอกกุหลาบในช่อก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สื่อความหมายได้เช่นกัน และในวันวาเลนไทน์หรือวันไหนๆ ถ้าคุณได้ช่อดอกกุหลาบจากใครสักคน เค้าคนนั้นอาจกำลังต้องการสื่อความหมายอะไรบางอย่างให้คุณรู้ก็เป็นได้
จำนวนดอกกุหลาบ
1
2
3
7
9
10
11
12
13
15
20
21
36
40
99
100
101
108
999 ความหมาย
รักแรกพบ
แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
ฉันรักเธอ
คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
เราสองคนจะรักกันตลอดไป
คุณเป็นคนที่ดีเลิศ
คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว
เพื่อนแท้เสมอ
ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
ชีวิตินี้ฉันมอบเพื่อเธอ
ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
ความรักของฉันเป็นรักแท้
ฉันรักเธอจนวันตาย
ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น
คุณจะแต่งงานกับฉันไหม
ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย
http://www.panmai.com/Valentine/rose_legend.shtml
ตำนานผีกระสือและวิธีพิสูจน์ผี(อันนี้เจนไม่กล้าเขาบ อกว่าเหงผีแล้วดวงจะตก) - 24-Oct-2007, 20:00
ตำนานผีกระสือ
ผีกระสือเป็นผีผู้หญิง เดิมเป็นหญิงแก่ แต่ภายหลังมักให้เป็นหญิงสาวสวย ผีกระเสือชอบกินของสดคาว และตามธรรมชาติของผีก็ต้องออกหากินตอนกลางดึก เวลาไปจะมีแต่หัวซึ่งเป็นผู้หญิงผมยาว มีตับไตไส้พุงห้อยรุงรังติดไปด้วย ลำตัวทิ้งไว้ที่บ้าน ผู้คนจะเห็นผีกระสือเป็นดวงไฟดวงโต มีแสงเขียวเรืองๆลอยแวมๆไป อาหารที่ผีกระสือชอบมากที่สุด คือ ทารกที่เกิดใหม่และหญิงที่คลอดลูกใหม่ๆ เนื่องจากเลือดและน้ำคร่ำที่ออกมากับทารกมีกลิ่นคาว ผีกระสือจะเข้ามาสิงและกินหญิงที่คลอดลูกใหม่ๆ และทารกแรกเกิดนั้น ในสมัยก่อนเมื่อหญิงใดจะคลอดลูกจึงต้องเอาหนามมาสระไ ว้ที่ใต้ถุนบ้าน และที่รอบๆบ้าน ผีกระสือกลัวหนามเกี่ยวไส้พุงจึงไม่กล้าเข้ามากินหญิ งนั้น นอกจากนี้อาหารโปรดกรองลงไปของผีกระสือก็คือ อุจจาระซึ่งมีคนขับถ่ายทิ้งไว้ตามทุ่ง เมื่อกินอุจจาระแล้วก็จะมาเช็ดปากตามผ้าที่คนตากทิ้ง ไว้ ผ้าจึงเปื้อนเป็นดวงๆ ถ้าเอาผ้านั้นไปต้ม ผีกระสือจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ปากจนทนไม่ได้ และจะมาขอผ้านั้น ซึ่งทำให้รู้ว่าใครเป็นผีกระสือ การกลัวผีกระสือมาเช็ดปากทำให้ต้องเก็บผ้าไม่ตากทิ้ง ไว้ข้ามคืน นับเป็นอุบายสอนให้คนรู้จักระวังข้าวของ เวลาจะตายผีกระสือจะถ่ายความเป็นผีกระสือให้ลูกหลานผ ู้หญิงด้วยการคายน้ำลายเข้าปากลูกหลานคนนั้น ปัจจุบันเราไม่ใคร่พบผีกระสือนอกจากในภาพยนตร์ คงเป็นเพราะผีตัวสุดท้ายไม่มีลูกหลานผู้หญิงจะเป็นทา ยาทสืบต่อความเป็นผีกระสือ สิ่งที่ได้ชื่อว่าผีกระสือจึงคงมีแต่ในคำเปรียบ เช่น เปรียบผู้หญิงที่ผอมมากๆว่า ผอมอย่างกับกระสือดูด หรือเรียกกล้วยที่ลีบไม่มีเนื้อ ว่า กล้วยกระสือดูด
ตำนาน: วิธีพิสูจน์ผี
วิธีพิสูจน์ผี 3 วิธี
วิธีที่1
วิธีนี้ง่ายมากครับได้ผล 60%-80%
เพียงแค่เวลาคุณนอนหลับในยามค่ำคืนแต่ขอให้เป็นคืนเด ือนเพ็ญนะครับจะได้ผลดีเยี่ยม เวลาคุณนอนนั้นจากที่คุณเคยนอนหันศีรษะไปทางใดก็ตามใ ห้คุณเปลี่ยนการนอนมาเป็นหันหัวไปทางทิศตะวันตก และที่สำคัญคุณต้องจุดธูป 1 ดอกไว้บริเวณหัวนอนของคุณ เท่านี้แหล่ะครับคุณก็จะเจอสิ่งที่คุณต้องการแล้ว...
วิธีที่2
ผมได้วิธีนี้มาจากคำบอกเล่าของเพื่อนคนนึงที่ได้รับข ้อมูลมาจากสื่อๆหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ วิธีนี้ได้ทำการทดลองโดยไม่ตั้งใจจากเด็กวัยรุ่นชาวญ ี่ปุ่น
วิธีการก็มีอยู่ว่าคุณต้องหาสถานที่ซักที่นึงที่มีเส า 4 ต้น(โบสถ์วัดจะดีมาก)แต่ถ้าไม่สามารถที่จะหาได้ก็ให้ ใช้บ้านคุณหรือบ้านใครก็ได้ที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ย มและมีเสา 4 ต้น โดยวิธีนี้
* ให้ใช้จำนวนคนได้เพียง 4 คนเท่านั้นห้ามเกินกว่านี้โดยเด็ดขาด
* ให้ทุกคนยืนประจำที่เสาทั้งสี่ต้นโดยไม่มีเครื่องลาง ใดๆติดตัวและปิดไฟให้มืดสนิท
* เริ่มวิธีให้คุณตั้งสมาธิให้มั่นอย่าวอกแวก แล้วให้คนแรกเริ่มวิ่งไปแตะคนที่ยืนอยู่ที่เสาต้นที่ 2 โดยคนที่หนึ่งจะยืนแทนที่คนที่สอง
* เมื่อคนที่สอง2แตะให้วิ่งไปแตะคนที่ยืนอยู่ที่เสาต้น ที่ 3
* คนที่ 2 ที่วิ่งมาแตะจะยืนแทนที่คนที่ 3 คนที่ 3 ก็จะวิ่งไปแตะคนที่ยืนอยู่ที่เสาต้นที่ 4 และยืนแทนที่คนที่ 4
หากคุณนึกภาพตามคนที่ 4 จะไม่สามารถแตะใครได้ ให้เพียง แค่วิ่งไปแทนที่ที่คนที่ 1 ยืน และเริ่มให้คนที่ 1 วิ่งไปแตะคนที่ 2ใหม่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆคุณจะพบว่ามีอีกหนึ่งบุคคลลึกลับ มา ร่วมวิ่ง กับคุณด้วยและทำให้คุณสับสนในการวิ่ง
วิธีที่3
วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างยากแต่รับรองได้ว่าเป็นวิ ธีที่ได้ผลถึง100% อย่างแน่นอนท่านผู้ใดอยากพิสูจน์อย่ารอช้ามาดูกันว่า ต้องทำอย่างไร
สิ่งที่ต้องเตรียม
1.ขี้เถ้าจากเชิงตะกอนสักหนึ่งช้อนโต๊ะห่อด้วยผ้าสีด ำ
2.ใบบอนดำ 1 ใบ
3.น้ำบ่อ 7 วัดเอาวัดละครึ่งช้อนโต๊ะ
สถานที่และเวลาที่ทำพิธี
1.สถานที่ทำพิธีต้องทำในวัดร้างหรือวัดที่มีอายุตั้ง แต่ร้อยปีขึ้นไป
2.วันเวลาที่ทำพิธี ต้องทำวันขึ้นและแรม 8,14,15 ค่ำในเวลา 4 ทุ่มถึง ตี 2
ผู้เข้าพิธีการบวงสรวง
1.ผู้ทำพิธีหรือหัวหน้า
ต้องเป็นบุคคลที่เคยผ่านการเป็น พระภิกษุและสามเณรแล้วไม่ต่ำกว่า 3 พรรษา
2.ผู้เข้าพิธีไม่เกิน 3-6 คนให้ทุกคนใส่ชุดดำทั้งหมด จุดเริ่มต้นพิธีให้ดับไฟทุกดวงที่มีอยู่ในวัดทั้งหมด เปิดประตูในอุโบสถหรือวิหารจุดเธียนไว้หน้าพระประธาน เพียง 1 เล่ม
3.จากนั้นมายืนอยู่หน้าวิหารแล้วทำการผสมให้หงายใบบอ นขึ้นเทขี้เถ้าลงไปพอประมาณแล้วเอาน้ำผสมลง ไปพอประมาณ ว่าหรือเป่าคาถา มะๆมาๆ 3 จบพร้อมกันทุกคน
วิธีในการใช้
ให้ใช้นิ้วที่ถนัดแตะลงในน้ำที่ผสมไว้
แล้วป้ายไว้ที่หน้าผากหรือคิ้วตาทั้งสองข้างจากนั้นผ ู้ที่ทำพิธีเดินนำหน้าถือใบบอนไปด้วย
เดินเวียนรอบอุโบสถไปทางซ้าย 2 รอบมาหยุดตรงที่จุดเริ่มต้น หันหน้าเข้าอุโบสถ แล้วท่านจะเห็นผีปรากฏร่างตามปรารถนา
ข้อห้าม
1.เมื่อเห็นผีปรากฏร่างห้ามคนใดคนหนึ่งวิ่ง
2.ห้ามดื่มสุรา
3.ห้ามนำขี้เถ้าเข้าบ้านพักที่อยู่อาศัยจะเป็นภัยแก่ ตนเองและคนในครอบครัวถึงเสียชีวิต หรือไม่ก็เป็นบ้า เสียสติไม่มีทางรักษาให้หายขาด
4.ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับในขณะทำพิธีขอว ิญาณให้ปรากฏร่าง
5.ในขณะที่ผีปรากฏร่างห้ามซักถามหรือพูดคุยกัน และห้ามเคลื่อนไหวตัวไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น ยกเว้นท่าน ไม่อยากดูให้ท่องคาถา วะวะวะตังวะวะวะนัง 3 จบ หลับตาลงท่านจะไม่เห็นผีแต่ห้ามหนี ออกจากที่เวลาเลิกดูให้ท่านใช้คาถาบทในข้อ 5 จากนั้นให้ผู้ที่พิสูจน์ผีถ่มน้ำลายลงพื้น 3 ครั้งและให้รีบไปล้างหน้าด้วยน้ำส้มป่อยจึงเสร็จพิธี และให้เก็บขี้เถ้าที่เหลือไว้ในบริเวณวัด
จากwww.Shockfmonline.com<<<อ่านเรื่องผีๆเพิ่มได้ที ่นี้(ถ้ายังไม่สะใจพอนะเจนอ่านจะขนลุกห