28
พระมหากัสสปเถระ
ชาติภูมิ
ท่านพระมหากัสสปะ เป็นบุตรกปิลพราหมณ์ กัสสปโคตร ในบ้านมหาติฏฐะ จังหวัดมคธรัฐ มีชื่อว่า ปิปผลิ อีกอย่างหนึ่ง เรียกตามโคตรว่า กัสสปะ เมื่ออายุ ๒๐ ปี ได้ทำการอาวหมงคลกับนางภัททกาปิลานี ผู้มีอายุได้ ๑๖ ปี เป็นบุตรีพราหมณ์โกสิยโคตร เมื่องสาคละ จังหวัดมคธรัฐ เนื้อความในเรื่องนี้มีว่า เมื่อปิปผลิมาณพอายุได้ ๒๐ ปีแล้ว กปิลพราหมณ์ผู้เป็นบิดา พร้อมกับนางพราหมณีผู้มารดา ก็ปรึกษากันหาภรรยาให้แก่บุตรของตน จึงมอบสิ่งของมีเงินและทองเป็นต้น ให้แก่พราหมณ์แปดคน แล้วส่งไปเพื่อให้แสวงหาหญิงที่มีลักษณะดีงาม มีฐานะเสมอกันกับสกุลของตน พราหมณ์แปดคนรับสิ่งของทองหมั้นแล้ว ก็เที่ยวหาไป จนได้บรรลุถึงสาครนคร ในพระนครนั้น มีธิดาของพราหมณ์โกสิยโคตรคนหนึ่ง ชื่อว่า ภัททกาปิลานี อายุ ๑๖ ปี รูปร่างงดงามสมกับเป็นผู้มีบุญ พราหมณ์เหล่านั้น ครั้นได้เห็นแล้วจึงเข้าไปสู่ขอกับบิดามารดาของนาง เมื่อตกลงกันแล้ว จึงมอบสิ่งของทองหมั้น กำหนดวันอาวหมงคล และส่งข่าวให้กปิลพราหมณ์ได้ทราบ ส่วนปิปผลิมาณพเมื่อได้ทราบดังนั้น ไม่ได้มีความประสงค์ที่จะแต่งงานเลย จึงเข้าไปในห้อง เขียนจดหมายบอกความประสงค์ของตนให้แก่นางทราบว่า “นางผู้เจริญ จงได้สามีที่มีชาติและโคตรโภคสมบัติเสมอกับนาง อยู่ครองครองเรือนเป็นสุขเถิด ฉันจักออกบวช ต่อไปภายหลังนางจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน” ครั้นเขียนเสร็จแล้วมอบให้คนใช้นำไปส่งให้ แม้นางภัททกาปิลานีก็มีความประสงค์เช่นเดียวกัน จึงได้เขียนจดหมายเช่นนั้นให้คนใช้นำมา คนถือจดหมายทั้งสองมาพบกันระหว่างทาง ต่างไถ่ถามความประสงค์ของกันและกันแล้วจึงฉีกจดหมายออกอ่าน แล้วทิ้งจดหมายฉบับนั้นเสียในป่า เขียนจดหมายมีเนื้อความแสดงความรักใคร่ซึ่งกันและกันขึ้นใหม่ แล้วนำไปให้แก่คนทั้งสอง ครั้นกาลต่อมา การอาวหมงคลเป็นการสำเร็จเรียบร้อยโดยคนทั้งสองไม่ได้มีความประสงค์ สักแต่ว่าอยู่ร่วมกันเท่านั้น ไม่ได้ถูกต้องกันเลย แม้แต่ขึ้นสู่เตียงนอนก็ไม่ได้ขึ้นทางเดียวกัน ปิปผลิมาณพขึ้นข้างขวา นางภัททกาปิลานี้ขึ้นข้างซ้าย เมื่อเวลานอน ตั้งพวงดอกไม้สองพวงไว้กลางที่นอน เพราะกลัวร่างกายจะถูกต้องกัน ถึงกลางวันก็ไม่ได้มีการหัวเราะยิ้มหัวต่อกันเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีบุตรหรือธิดา สกุลของสามีภรรยาคู่นี้มั่งมีมาก มีการงานเป็นบ่อเกิดแห่งทรัพย์ก็มาก มีคนงานและพาหนะสำหรับใช้งานก็มาก ครั้นต่อมา บิดามารดาเสียชีวิตแล้ว ปิปผลิมาณพได้ครองสมบัติ ดูแลการงานนั้นสืบทอดจากบิดามารดา และสามีภรรยาต่างมีความเห็นร่วมกันว่า ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาปเพราะการงานที่ผู้อื่นทำไม่ดี จึงมีใจเบื่อหน่าย พร้อมใจกันจะออกบวช ได้แสวงหาผ้ากาสยะ ถือเพศเป็นบรรพชิต ออกบวชมุ่งหมายเป็นพระอรหันต์ในโลก สะพายบาตรลงจากปราสาทหลีกไป ปิปผลิเดินหน้า นางภัททกาปิลานีเดินไปตามหลัง พอไปถึงทางแยกแห่งหนึ่ง จึงแยกจากกัน ปิปผลิเดินไปทางขวา ส่วนนางภัททกาปิลานีเดินไปทางซ้าย จนบรรลุถึงสำนักของนางภิกษุณี ภายหลังได้บวชเป็นนางภิกษุณี และได้บรรลุพระอรหัตผล ส่วนปิปผลิเดินทางไปพบสมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ใต้ร่มไทร ซึ่งเรียกว่า พหุปุตตกนิโครธ ในระหว่างกรุงราชคฤห์และเมืองนาลันทาต่อกัน มีความเลื่อมใสเปล่งวาจาประกาศว่า พระศาสดาเป็นพระศาสดาของตน ตนเป็นสาวกของพระศาสดาฯ
รับโอวาท – เอตทัคคะ
พระศาสดาทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ด้วยประทานโอวาท ๓ ข้อว่า
- ๑. กัสสปะ ท่านพึงศึกษาว่า เราจักเข้าไปตั้งความละอาย และความเกรงใจ ไว้ในภิกษุที่เป็นผู้เฒ่าและปานกลาง อย่างดีที่สุด
- ๒. เราจักฟังธรรมซึ่งประกอบด้วยกุศล เราจักตั้งใจฟังธรรมนั้น แล้วพิจารณาเนื้อความ
- ๓. เราจักไม่ละสติที่เป็นไปในกาย คือ พิจารณาเอาร่างกายเป็นอารมณ์
ครั้นประทานโอวาทแก่พระมหากัสสปะอย่างนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ท่านได้ฟังพุทธโอวาทที่นั้นแล้ว ก็เริ่มบำเพ็ญเพียรในวันที่ ๘ นับจากวันอุปสมบทมา ก็ได้สำเร็จพระอรหัตผล ตามปกติท่านพระมหากัสสปะนั้นถือธุดงค์ ๓ อย่าง คือ ถือทรงผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร, ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร และ ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ด้วยเหตุนั้นพระบรมศาสดา จึงทรงยกย่องว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ทรงธุดงค์ นอกจากนี้ท่านยังมีคุณความดีที่พระบรมศาสดาทรงยกย่องหลายสถานเช่น
- ๑. ทรงรับผ้าสังฆาฏิของท่านไปทรง ประทานผ้าสังฆาฏิของพระองค์ให้แก่ท่าน ตรัสว่ามีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอด้วยพระองค์ และทรงสรรเสริญว่าเป็นผู้มักน้อยสันโดษ ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายให้ถือเอาเป็นตัวอย่าง
- ๒. กัสสปะเข้าไปในตระกูล ชักกายและใจห่าง ประพฤติตนเหมือนเป็นคนใหม่ ไม่คุ้นเคย ไม่คะนองกายวาจาใจในตระกูลเป็นนิตย์ จิตไม่ข้องอยู่ในตระกูลเหล่านั้น เพิกเฉยแล้วตั้งจิตเป็นกลางว่า ผู้ใคร่ลาภก็จงได้ลาภ ผู้ใคร่บุญก็จงได้บุญ ตนได้ลาภแล้วมีใจฉันใด ผู้อื่นก็มีใจฉันนั้นฯ
- ๓. กัสสปะมีจิตประกอบไปด้วยเมตตากรุณา ในเวลาแสดงธรรมแก่ผู้อื่นฯ
- ๔. ทรงสั่งสอนภิกษุให้ประพฤติชอบ โดยยกเอาท่านพระมหากัสสปะเป็นตัวอย่างฯ
หน้าที่สำคัญ
ท่านพระมหากัสสปะนั้นดีแต่ในการปฏิบัติ หาพอใจในการสั่งสอนภิกษุสหธรรมิกไม่ ธรรมเทศนาอันเป็นอนุสาสนีของท่านจึงไม่มี คงมีแต่ธรรมภาษิตเนื่องมาจากธัมมสากัจฉา (การสนทนาในเรื่องธรรมะ) กับเพื่อนสาวกบ้าง กล่าวบริหารพระพุทธดำรัสบ้าง ในเมื่อพระบรมศาสดายังทรงพระชนม์อยู่ ดูท่านไม่ออกหน้านัก เป็นเพียงสาวกผู้ใหญ่รูปหนึ่งเท่านั้น มาปรากฏเป็นพระสาวกองค์สำคัญ เมื่อพระบรมศาสดาทรงปรินิพพานแล้ว คือในเวลานั้นท่านเป็นพระสังฆเถระ พอถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้วได้ ๗ วัน ท่านประชุมสงฆ์เล่าถึงการที่ภิกษุชื่อว่า สุภัททะผู้บวชเมื่อตอนแก่ กล่าวคำมิดีมิชอบต่อพระธรรมวินัย ในคราวเมื่อเดินทางจากปาวานคร ปรึกษาหารือในทางที่จะทำสังคายนา รวบรวมพระธรรมวินัยตั้งไว้เป็นแบบฉบับ พระสงฆ์ก็ยินยอมเห็นพร้อมด้วย ท่านจึงเลือกภิกษุผู้ทำสังคายนาได้ ๕๐๐ องค์ การทำสังคายนาในครั้งนั้น ทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา แห่งเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ พระมหากัสสปะเป็นประธาน ได้พระอุบาลีและพระอานนท์เป็นกำลังในการวิสัชนาพระวินัยและพระธรรม โดยลำดับกัน ได้พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศาสนูปถัมภก ทำอยู่ ๘ เดือนจึงสำเร็จ เรียกว่า ปฐมสังคายนา เมื่อท่านทำสังคายนาเรียบร้อยแล้ว ได้อยู่ที่พระเวฬุวนาราม ในกรุงราชคฤห์ ไม่ประมาท ปฏิบัติธรรมเป็นนิตย์ ดำรงชนมายุสังขารประมาณได้ ๑๒๐ ปี ท่านก็ดับขันธปรินิพพาน ณ ระหว่างกลางกุกกุฏสัมปาตบรรพตทั้ง ๓ ลูก ในกรุงราชคฤห์มหานคร
ข้อควรกำหนด
ปิปผลิมาณพออกบวช ปิปผลิมาณพกับนางภัททกาปีลานี สละสมบัติออกบวชนั้น น่าจะเห็นว่าท่านได้ทำตามธรรมเนียมบวชเป็นสันยาสีของพวกพราหมณ์ คือ ละการครองเรือน ปลงผมจุกเสีย โกนโล้นทั้งศีรษะ นุ่งห่มผ้าสีเหลืองหม่น ได้แก่ผ้ากาสะยะของเรา นุ่งผืนห่มผืน เที่ยวภิกขาจาร เลี้ยงชีวิต เข้าอยู่ป่า มีมรรยาทอันจะพึงรักษา มีภาวนาอันจะพึงบำเพ็ญตามวิธี ไม่ปรากฏว่าได้ตั้งอยู่เป็นหมู่คณะ การบวชอย่างนี้ทำต่อหน้าปุโรหิต คือ ผู้อำนวยการพิธีและแขกผู้มาประชุมเป็นการเด็ดเดี่ยวเทียบกับจรรยาของคนไทย คฤหัสถ์ผู้ได้รับประโยชน์แห่งการครองเรือนแล้ว เจริญด้วยบุตรหลานแต่งให้มีครอบครัว เสร็จกิจธุระในการปลูกฝังเขาแล้ว ตนเองเข้าวัดจำศีลฟังเทศน์มุ่งบุญกุศลต่อไป
ข้อพิสูจน์ว่าพระมหากัสสปะเป็นพระอรหันต์ พระมหากัสสปะเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาองค์หนึ่ง เพราะปรากฏว่าการเลือกพระสงฆ์ในการทำปฐมสังคายนา ท่านเลือกเอาแต่ล้วนพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณแตกฉานในพระไตรปิฎก และล้วนมีศักดานุภาพมากที่พระศาสดาทรงตั้งไว้ในเอตทัคคะนั้น ๆ โดยมาก ล้วนได้วิชชา ๓ และอภิญญา ๖ เป็นต้น ที่เป็นปุถุชนและพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี แม้จะแตกฉานในพระไตรปิฎก ท่านก็ไม่นับเข้าในจำนวนสังคายนา ถึงเป็นพระขีณาสพ ถ้าเป็นพระอรหันต์สุกขวิปัสสกก็ไม่นับเข้าในจำนวนสังคายนาเหมือนกัน สรุปความว่า พระมหาเถระเลือกพระสงฆ์สังคายนาครั้งนั้น ๔๙๙ เพื่อไว้โอกาสจะบรรจุพระอานนท์ด้วยองค์หนึ่ง เนื้อความดังสาธกมานี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า พระมหากัสสปะเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาองค์หนึ่ง
พระมหากัสสปะได้รับยกย่องพิเศษ คือ พระศาสดาทรงประทานผ้าสังฆาฏิของพระองค์ให้แก่ท่าน และพระองค์ทรงรับเอาผ้าสังฆาฏิของท่านเป็นทรง และยกย่องไว้ในสมัฏฐาน คือ ฐานะที่มีธรรมเครื่องอยู่เสมอกับพระองค์ และทรงสรรเสริญว่า เป็นผู้มักน้อย สันโดษ จนถึงตรัสสอนพวกภิกษุให้ถือเอาเป็นแบบ ข้อที่ได้รับยกย่องเป็นพิเศษเช่นนี้ให้สำเร็จความสันนิษฐานว่า ท่านจะได้เป็นผู้ประดิษฐานธรรมวงศ์ในอนาคต ทำนองคล้ายกับพระองค์มอบมรดก คือ พระศาสนาไว้ท่านปกครองต่อไป เช่นเดียวกับพระเจ้าจักรพรรดิ เมื่อทรงเห็นว่าพระราชโอรสองค์ใดควรสืบสันตติวงศ์ต่อไป ก็พระราชทานพระนามเป็นเครื่องหมายตำแหน่งรัชทายาทแก่โอรสนั้น ฉะนั้นฯ..