1
ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของทวีปอเมริกาเหนือ
ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของดินแดนในทวีปอเมริกาเหนือ ส่วนใหญ่จะเป็นภูมิหลังของประเทศสหรัฐอเมริกา สรุปได้ดังนี้
1 แหล่งอารยธรรมของชนเผ่าอินเดียนแดงในสมัยโบราณ แต่เดิมก่อนที่ชนชาติยุโรปจะรู้จักทวีปอเมริกาเหนือ ดินแดนในประเทศเม็กซิโกเคยเป็นถิ่นฐานที่อยู่ของพวกอินเดียนแดงเผ่าแอซแตก (Aztecs) มาก่อน
2 การสำรวจและตั้งถิ่นฐาน เมื่อโคลัมบัส (Christopher Columbus) นักสำรวจทางทะเลชาวอิตาลี ได้ค้นพบ “โลกใหม่” หรือทวีปอเมริกา ในปี ค.ศ. 1492 สเปนเป็นประเทศยุโรปชาติแรกที่เข้ามาสำรวจดินแดนทวีปใหม่แห่งนี้ ต่อมาได้ส่งกำลังเข้ายึดครองกรุงเม็กซิโก นครหลวงของจักรวรรดิแอซแตก ทำให้ชาติยุโรปอื่นๆ ให้ความสนใจเข้ามาจับจองดินแดนต่างๆ เป็นอาณานิคมของตนเช่นกัน
3 การอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชนชาวยุโรป นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา มีชาวยุโรปหลายเชื้อชาติอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญ คือ เพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตน เช่น ต้องการจับจองที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ แสวงหาความมั่งคั่งจากทรัพยากรธรรมชาติ และต้องการสิทธิและเสรีภาพ ทั้งในด้านการเมืองและการนับถือศาสนา
4 การปฏิวัติของชาวอเมริกัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ชาวอังกฤษได้ตั้งถิ่นฐานเป็นอาณานิคมตามบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกอย่างมั่นคง แต่รัฐบาลอังกฤษปกครองอาณานิคมอย่างเอาเปรียบ เช่น บังคับให้ต้องจ่ายภาษี ทำให้ชาวอาณานิคมเรียกร้องขอให้มีผู้แทนของตนในรัฐสภาอังกฤษ แต่รัฐบาลอังกฤษกลับไม่ยินยอมและได้ออกกฎหมายบีบคั้นชาวอาณานิคมอีกหลายฉบับ
ในที่สุด ชาวอาณานิคมจึงทำสงครามประกาศเอกราชจากอังกฤษ เรียกว่า “การปฏิวัติของชาวอเมริกัน” (ค.ศ. 1776-1781) เมื่อได้รับชัยชนะจึงประกาศเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา
5 รูปแบบการปกครองของสหรัฐอเมริกาภายหลังได้รับเอกราช เป็นการปกครองแบบสหพันธ์สาธารณรัฐ (Federal Republic) ประกอบด้วยมลรัฐ 13 มลรัฐมารวมกัน มีประธานาธิบดีเป็นประมุข และมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ มีผลบังคับใช้ในปี ค.ศ. 1791 เป็นต้นไป
6 การดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในระยะเริ่มแรก คือ แยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองของยุโรป ต่อมาในปี ค.ศ. 1823 ได้ประกาศ “หลักการมอนโร” (Monroe Doctrin) โดยห้ามมิให้ประเทศในยุโรปเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ ในทวีปอเมริกา
7 สงครามกลางเมือง (ค.ศ. 1861-1865) เป็นสงครามระหว่างมลรัฐฝ่ายเหนือกับมลรัฐฝ่ายใต้ โดยมีสาเหตุเกิดจากการประกาศเลิกทาสของรัฐบาลประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) ซึ่งชาวอเมริกันทางใต้ไม่เห็นด้วย เพราะจำเป็นต้องใช้แรงงานทาสในไร่ฝ้ายและยาสูบ
สมรภูมิของสงครามเกิดในมลรัฐทางใต้และสิ้นสุดลงด้วยความปราชัยของชาวอเมริกันทางใต้ เป็นผลให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในปี ค.ศ. 1865 ให้เลิกทาสทั่วประเทศ รวมทั้งเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของภาคใต้ จากเดิมที่เคยทำไร่ในพื้นที่ขนาดใหญ่ต้องเปลี่ยนมาทำฟาร์มขนาดเล็กแทน
8 การบุกเบิกดินแดนตะวันตก ภายหลังสิ้นสุดสงครามกลางเมือง สหรัฐอเมริกาเริ่มพัฒนาความเจริญและขยายการผลิตของประเทศ ทั้งในด้านอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม มีการบุกเบิกพื้นที่ใหม่ๆ ไปยังดินแดนตะวันตกของทวีป โดยเฉพาะบริเวณที่ราบเกรตเพลน (Great Plain) ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุและป่าไม้
9 สหรัฐอเมริกาก้าวสู่ความเป็นชาติมหาอำนาจ ในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่มั่งคั่ง ขยายตลาดการค้าไปทั่วโลก และพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
สหรัฐฯ จึงเริ่มสร้างความสัมพันธ์กับประเทศในยุโรป มีบทบาทในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจการค้าของคนอเมริกัน และกลายเป็นชาติมหาอำนาจของโลกในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา
10 บทบาทของสหรัฐอเมริกาในสงครามโลก ครั้งที่ 1 และสงครามโลก ครั้งที่ 2
สงครามโลก ครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914-1918) สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามในปี ค.ศ. 1917 และมีบทบาทช่วยให้สงครามยุติลงโดยเร็ว เมื่อประธานาธิบดี วูดโร วิลสัน (Woodrow Wilson) ได้ประกาศนโยบาย 14 ข้อ เป็นหลักในการยุติสงคราม และเสนอให้จัดตั้ง “องค์การสันนิบาตชาติ” เพื่อรักษาสันติภาพของโลก
สงครามโลก ครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1936-1945) สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามในปี ค.ศ. 1941 เพื่อช่วยเหลือประเทศพันธมิตรต่อต้านลัทธิเผด็จการทางทหารของเยอรมนีและญี่ปุ่น เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง “องค์การสหประชาชาติ” (UN) เพื่อรักษาสันติภาพของโลก ในช่วงตอนปลายของสงคราม สหรัฐฯ ได้ใช้ระเบิดปรมาณูทำให้ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายปราชัย และสงครามโลก ครั้งที่ 2 จึงยุติลงในที่สุด
พัฒนาการทางการเมือง และการปกครองของทวีปอเมริกาเหนือ
1 การเมืองและการปกครองของสหรัฐอเมริกา
(1) สหรัฐอเมริกามีรูปแบบการปกครองเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐ (หรือรัฐรวม) ประกอบด้วยมลรัฐต่างๆ 50 มลรัฐ บริหารกิจการภายในของตนเอง (ผู้ว่าการมลรัฐมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง)
(2) มีรัฐบาลกลางที่เมืองหลวง (กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.) โดยมีประธานาธิบดี (มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง) เป็นประมุขและหัวหน้าฝ่ายบริหาร ซึ่งมีอำนาจควบคุมเฉพาะกิจการสำคัญของประเทศ 3 ด้าน ได้แก่ การทหาร การคลัง และการต่างประเทศ
(3) รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาแบ่งอำนาจอธิปไตยแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา), ฝ่ายบริหาร (ประธานาธิบดี) และฝ่ายตุลาการ (ศาล) อำนาจทั้งสามต่างเป็นอิสระต่อกัน คอยตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นแบบอย่างของประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก
2 การเมืองการปกครองของแคนาดา
(1) แคนาดาเป็นประเทศในเครือจักรภพ มีรูปแบบการปกครองแบบรัฐสภาของอังกฤษ มีสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรทรงเป็นประมุข และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลหรือฝ่ายบริหาร
(2) มีการปกครองแบบรัฐรวม ประกอบด้วยมณฑลต่างๆ 10 มณฑล มีรัฐบาลกลางที่เมืองหลวง (กรุงออตตาวา) และรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละมณฑล บริหารกิจการภายในมณฑลของตน
3 การเมืองการปกครองของเม็กซิโก
(1) เม็กซิโกเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ถอดรูปแบบการปกครองจากสหรัฐอเมริกามากที่สุด มีประธานาธิบดี (มาจากการเลือกตั้งของประชาชน) เป็นทั้งประมุขและหัวหน้าฝ่ายบริหาร
(2) มีการปกครองแบบรัฐรวม ประกอบด้วยรัฐต่างๆ 31 รัฐ มีรัฐบาลของแต่ละรัฐบริหารกิจการภายในของรัฐตน และมีรัฐบาลกลางที่เมืองหลวง (กรุงเม็กซิโก ซีตี) ทำหน้าที่บริหารประเทศ
พัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจของทวีปอเมริกาเหนือ
1 กลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจระดับสูง ได้แก่ สหรัฐอเมริกาและแคนาดา ได้ชื่อว่าเป็นประเทศทุนนิยม และเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก อีกทั้งยังมีความเจริญก้าวหน้าทางเกษตรกรรม การค้าระหว่างประเทศ เทคโนโลยีในด้านต่างๆ และความอุดมสมบูรณ์ในทรัพยากรธรรมชาติ
2 กลุ่มประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจระดับปานกลาง ได้แก่ เม็กซิโก และกลุ่มประเทศในอเมริกากลาง ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและประมง มีฐานะยากจน การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังล้าหลัง เพราะขาดแคลนเงินทุนและเทคโนโลยีที่ทันสมัย
สภาพสังคมและวัฒนธรรมของประชากรในทวีปอเมริกาเหนือ
ประชากรในทวีปอเมริกาเหนือมีหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกัน จึงมีสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมแตกต่างกัน ในที่นี้ จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1 กลุ่มแองโกล-อเมริกา คือ ประชากรผิวขาวในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งมีเชื้อสายชาวยุโรป มีวิถีชีวิตแบบคนในสังคมเมืองหรือสังคมอุตสาหกรรม มีมาตรฐานการดำเนินชีวิตที่สูง พึ่งพาเทคโนโลยี มีระเบียบวินัยในการทำงาน และเห็นคุณค่าของการศึกษา
2 กลุ่มลาติน-อเมริกา เป็นประชากรส่วนใหญ่ในเม็กซิโกและอเมริกากลาง ซึ่งมีเชื้อสายเมสติโซ (Mestizo) คือ อินเดียนแดงผสมกับชาวยุโรป มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบสังคมเกษตรกรรม ผู้คนส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ขาดการศึกษา และมีวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างอินเดียนแดงกับสเปน
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ของทวีปอเมริกาใต้
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการในด้านต่างๆ ของทวีปอเมริกาใต้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีดังนี้
1 สภาพภูมิประเทศ พื้นที่ของทวีปอเมริกาใต้ประกอบด้วยลักษณะภูมิประเทศ 3 เขต ดังนี้
(1) เขตเทือกเขาและที่ราบสูงภาคตะวันตก ประกอบด้วยเทือกเขาแอนดีส (Andes) ทอดตัวยาวเหยียดขนานกับชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นเขตที่มีทะเลทราย เทือกเขา และที่ราบสูง
(2) เขตที่ราบลุ่มแม่น้ำ ได้แก่ ที่ราบลุ่มแม่น้ำแอมะซอน (Amazon) บริเวณตอนกลางของทวีปเป็นที่ราบกว้างใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 1 ใน 3 ของทวีป เป็นเขตที่ราบเพาะปลูกและป่าดงดิบ
(3) เขตที่ราบสูงภาคตะวันออก ที่สำคัญได้แก่ ที่ราบสูงบราซิล มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก มีทุ่งหญ้าเมืองร้อนปกคลุมทั่วไป
2 สภาพภูมิอากาศ ดินแดนส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาใต้ตั้งอยู่ในละติจูดที่เป็นเขตร้อนและเขตอบอุ่น สภาพภูมิอากาศจึงเป็นแบบร้อนชื้น แบบทุ่งหญ้าเมืองร้อน แบบทะเลทราย และแบบอบอุ่นชื้น เป็นต้น ไม่มีภูมิอากาศหนาวเย็นแบบขั้วโลก
ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของทวีปอเมริกาใต้
ความเป็นมาของดินแดนทวีปอเมริกาใต้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีดังนี้
1 ถิ่นฐานดั้งเดิมของชนพื้นเมืองอินเดียนแดง ก่อนที่ชาติตะวันตกจะเข้ามา ทวีปอเมริกาใต้เป็นถิ่นที่อยู่ของชนพื้นเมืองอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ชนเผ่าอินคา (Incas) ได้ก่อตั้งจักรวรรดิของตนขึ้น บริเวณดินแดนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก (ด้านตะวันตกของทวีป)
2 สเปนเข้าครอบครองดินแดนอเมริกาใต้ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สเปนทำสงครามรบชนะพวกอินคา และสร้างจักรวรรดิของตนขึ้นแทน มีอาณาเขตตั้งแต่เม็กซิโกจนถึงตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกอบโกยทรัพยากรแร่เงินและทองคำ และเผยแพร่คริสต์ศาสนา
3 โปร์ตุเกสมีอำนาจปกครองดินแดนบราซิล โดยตั้งสถานีการค้ามุ่งเก็บหาของป่าเพื่อนำไปขายในยุโรป พ่อค้าโปร์ตุเกสบางกลุ่มกวาดต้อนชาวนิโกรจากแอฟริกาเข้ามาขายเป็นทาสแรงงาน ทั้งในอาณานิคมของตนและอาณานิคมของสเปน
4 การเรียกร้องเอกราชของชาวอาณานิคม ภายหลังที่สเปนและโปร์ตุเกสปกครองดินแดนอเมริกาใต้เกือบ 300 ปี ชาวอาณานิคมซึ่งประกอบด้วยชนผิวขาวและเลือดผสมชาวพื้นเมือง ได้ก่อกบฏและประกาศแยกตัวเป็นเอกราชจากประเทศแม่ ตั้งแต่ ค.ศ. 1810 เป็นต้นมา
5 สาเหตุการเรียกร้องเอกราชของชาวอาณานิคม คือ ความไม่พอใจที่ถูกกอบโกยทรัพยากร ความมั่งคั่ง และผลประโยชน์อื่นๆ อย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งได้รับอิทธิพลจากการปฏิวัติของชาวอเมริกัน ค.ศ. 1776 และการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789
6 ผู้นำชาวอาณานิคมในการทำสงครามต่อสู้เรียกร้องเอกราช มี 2 คน ได้แก่ อาณานิคมทางตอนเหนือของทวีป คือ ซิโมน โบลิวาร์ (Simon Bolivar) ชาวเวเนซูเอลา และทางตอนใต้ของทวีป คือ โฮเซ เดอ ซานมาร์ติน (Jose de San Martin) ชาวอาร์เจนตินา
พัฒนาการด้านการเมืองและการปกครองของประเทศในอเมริกาใต้
สภาพการเมือง การปกครองของประเทศส่วนใหญ่ในอเมริกาใต้ ภายหลังได้รับเอกราชจากสเปนและโปร์ตุเกส ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 สรุปได้ดังนี้
1 การได้รับเอกราช ประเทศในทวีปอเมริกาใต้ส่วนใหญ่ได้รับเอกราชในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งยึดตามหลัก “วาทะมอนโร” ใน ค.ศ. 1823 ที่ต้องการให้อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้เป็นดินแดนที่ปลอดจากการแทรกแซงและการแสวงหาผลประโยชน์จากชาติยุโรป
2 การปกครองขาดเสถียรภาพและมีแนวโน้มเป็นเผด็จการ ประเทศในทวีปอเมริกาใต้มีรูปแบบการปกครองเป็นประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญและมีประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ต้องประสบปัญหาความยุ่งยากทางเศรษฐกิจ บางประเทศจึงถูกแทรกแซงจากทหาร หรือการใช้อำนาจเด็ดขาดในการบริหารของประธานาธิบดี คงมีประเทศอุรุกวัยชาติเดียวที่มีระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง
3 ตัวอย่างประเทศที่ทหารเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนในระบอบประชาธิปไตย คือ ประเทศชิลี ในปี ค.ศ. 1973 โดยการนำของ นายพล ออกุสโต ปิโนเซต์ (Augusto Pinochet) ผู้นำทางทหารในสมัยนั้น เนื่องจากรัฐบาลพลเรือนไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจได้
3 การจัดตั้งองค์การรัฐอเมริกัน (Organization of American States : OAS) เป็นการรวมตัวของประเทศกลุ่มลาตินอเมริกาจำนวน 28 ประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดเสถียรภาพทางการเมืองและการปกครองและปัญหาอื่นๆ
พัฒนาการด้านเศรษฐกิจของประเทศในอเมริกาใต้
ประเทศในทวีปอเมริกาใต้ส่วนใหญ่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่เข้มแข็ง เป็นประเทศกำลังพัฒนา สรุปพัฒนาการทางเศรษฐกิจได้ดังนี้
1 โครงสร้างทางเศรษฐกิจเน้นการผลิตภาคเกษตรกรรม ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ แต่ละประเทศมีรายได้หลักจากการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกเพียง 1-2 ชนิด เช่น บราซิล และโคลัมเบียผลิตกาแฟ อาร์เจนตินาและอุรุกวัยส่งออกเนื้อสัตว์และข้าวสาลี เป็นต้น
2 มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะแร่ธาตุ ป่าไม้ และผลผลิตจากการประมงทางทะเล แต่การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมยังไม่เจริญก้าวหน้ามากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับยุโรปและแองโกลอเมริกา มีเพียงอาร์เจนตินาประเทศเดียวที่มีระดับการพัฒนาสูงกว่าชาติอื่นๆ ในอเมริกาใต้
ลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมของอเมริกาใต้
1 ลักษณะประชากรของทวีปอเมริกาใต้ ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ หลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มชาวพื้นเมืองอินเดียนแดง กลุ่มชนชาติยุโรป กลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากทวีปแอฟริกา และกลุ่มเชื้อชาติผสม เช่น พวกเมสติโซ (Mestizos) ซึ่งมีเชื้อสายอินเดียนแดงกับชาวยุโรป เป็นต้น
2 ลักษณะทางวัฒนธรรม ประชากรส่วนใหญ่มีวัฒนธรรมแบบละตินอเมริกา ซึ่งมีรากฐานมาจากผู้คนจากยุโรปใต้ (สเปนและโปร์ตุเกส) ภาษาราชการที่ใช้ส่วนใหญ่ใช้ภาษาสเปน ยกเว้น บราซิล ใช้ภาษาโปร์ตุเกส เนื่องจากเคยเป็นอาณานิคมของโปร์ตุเกสมาก่อน
3 ลักษณะทางศาสนา การนับถือศาสนาของประชาชนในแต่ละประเทศได้รับแบบอย่างจากประเทศเมืองแม่ที่เคยเป็นเจ้าของอาณานิคมมาก่อน โดยส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 90 นับถือคริสต์ศาสนา นิกายโรมันคาทอลิกเช่นเดียวกับโปร์ตุเกสและสเปน ส่วนประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เช่น กายอานา ประชาชนส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนา นิกายโปรเตสแตนท์
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อมของทวีปแอฟริกา
ทวีปแอฟริกาได้ชื่อว่ามีการพัฒนาล้าหลังกว่าทวีปอื่นๆ มาก ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญเกิดจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อม ดังนี้
1 ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ พื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปแอฟริกาเป็นที่ราบสูง มีทะเลทรายสะฮาราครอบคลุมดินแดนอันกว้างใหญ่ทางตอนเหนือของทวีป จึงกลายเป็นบริเวณที่มีความแห้งแล้ง นอกจากนี้ยังมีเทือกเขาสำคัญทางตอนเหนือของทวีป คือ เทือกเขาแอตลาส (Atlas)
ส่วนตอนกลางของทวีปเป็นเขตศูนย์สูตร อากาศร้อนชื้นและมีฝนตกชุก จึงมีสภาพภูมิประเทศเป็นป่าดงดิบ เช่น ป่าดงดิบในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำคองโก สภาพดังกล่าวจึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความเจริญในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการคมนาคมขนส่ง
2 ลักษณะภูมิประเทศไม่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เช่น ชายฝั่งทะเลของทวีปแอฟริกาไม่เว้าแหว่งมากนัก จึงขาดเมืองท่าขนส่งสินค้าทางทะเล นอกจากนี้ แม่น้ำสายยาวของทวีปจะไม่ไหลลงทะเล ทำให้ไม่สามารถใช้น้ำเพื่อการคมนาคมขนส่งได้
ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของทวีปแอฟริกา
ทวีปแอฟริกามีภูมิหลังความเป็นมา โดยสรุป ดังนี้
1 บริเวณตอนเหนือของทวีปมีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ก่อนที่ชนชาติตะวันตกจะเดินทางเข้ามา ได้แก่ อารยธรรมอียิปต์โบราณในบริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7-11 ดินแดนทางตอนเหนือถูกพวกอาหรับเข้ายึดครองและยอมรับในวัฒนธรรมอาหรับและศาสนาอิสลามมาจนถึงปัจจุบัน
2 การก่อตั้งราชอาณาจักรทางตะวันตกของทวีป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4-17 โดยมีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง ได้แก่ ราชอาณาจักรกานา (Ghana) และราชอาณาจักรมาลี (Mali) เป็นต้น มีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านการค้า
3 การก่อตั้งนครรัฐบริเวณชายฝั่งตะวันออกของทวีป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12-16 มีนครรัฐเกิดขึ้นจำนวนมาก เรียกรวมกันว่า “นครรัฐสวาฮิลี” (Swahili City-States) เป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเลมีการติดต่อทางการค้ากับพ่อค้าอาหรับ อินเดีย และจีน
4 การสำรวจทางทะเลของโปร์ตุเกส ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เริ่มต้นเมื่อนักเดินเรือชาวโปร์ตุเกสเข้ามาสำรวจชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกาเพื่อแสวงหาเส้นทางไปยังอินเดีย ดังนี้
(1) บาร์โทโลมิว ดิอาช (Bartholomew Dias) ประสบความสำเร็จในการแล่นเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮป (Cape of Good Hope) ทางตอนใต้สุดของทวีปแอฟริกา ในปี ค.ศ. 1488
(2) วาสโก ดา กามา (Vasco da Gama) แล่นเรือสำรวจตามหาเส้นทางเดิมของดิอาช คือ ชายฝั่งตะวันตกของทวีปแอฟริกาจนถึงชายฝั่งอินเดียได้สำเร็จ ในปี ค.ศ. 1498
5 การเข้ามาแสวงผลประโยชน์ของชาติตะวันตก เมื่อโปร์ตุเกสประสบผลสำเร็จในการสำรวจเส้นทางเดินเรือ ทำให้ชาติตะวันตกอื่นๆ เข้ามาตั้งสถานีการค้าตามชายฝั่งของทวีปแอฟริกาเพื่อแข่งขันกับโปร์ตุเกส สินค้าที่ชาติยุโรปต้องการ คือ ทองคำ เครื่องเทศ งาช้าง และของป่าอื่น ฯลฯ รวมทั้งแรงงานทาสชาวพื้นเมือง
6 การสร้างอาณานิคมของชาติตะวันตกในทวีปแอฟริกา ในระหว่าง ค.ศ. 1867-1897 ดินแดนในทวีปแอฟริกาตกเป็นอาณานิคมของชาติยุโรปจนเกือบหมด ส่วนใหญ่เป็นของอังกฤษและฝรั่งเศส ชาวยุโรปนิยมตั้งถิ่นฐานทางตอนใต้ของทวีป เพราะมีสภาพอากาศอบอุ่นและเป็นแหล่งแร่ทองคำและเพชร (ในปัจจุบัน คือ สาธารณรัฐแอฟริกาใต้)
7 การเรียกร้องเอกราชของชาวแอฟริกัน ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1945 เป็นต้นมา ชนชาติแอฟริกันส่วนใหญ่ต้องเสียเลือดเนื้อในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราช และได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสรภาพโดยลำดับมา โดย กานา (Ghana) ได้รับเอกราชจากอังกฤษเป็นชาติแรก ในปี ค.ศ. 1957
พัฒนาด้านการเมือง การปกครองของประเทศในทวีปแอฟริกา
1 ปัญหาความขัดแย้งภายในชาติภายหลังได้รับเอกราช มีหลายประเทศต้องประสบปัญหาความขัดแย้งภายในชาติอย่างรุนแรงจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก เช่น ไนจีเรีย คองโก (แซร์) และอูกันดา เป็นต้น
ทั้งนี้ มีสาเหตุเกิดจากความแตกต่างในเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ (Tribes) ซึ่งผู้คนจากเผ่าต่างๆ มีความจงรักภักดีกับชนเผ่าเดิมของตนมากกว่าการอยู่รวมเป็นประเทศเดียวกันกับคนต่างเผ่า
2 สภาพการเมืองการปกครอง ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปแอฟริกามีรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเหมือนกับประเทศตะวันตกเจ้าของอาณานิคมเดิมของตน เช่น มีรัฐสภา ประธานาธิบดี และพรรคการเมือง แต่มักประสบปัญหาขาดความมั่นคงทางการเมือง โดยมีการก่อรัฐประหารแย่งชิงอำนาจจากกลุ่มทหารอยู่เนืองๆ
3 สาเหตุที่ทำให้ประเทศในทวีปแอฟริกาขาดเสถียรภาพทางการเมือง มีดังนี้
(1) ปัญหาความแตกต่างของประชากรในด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ภาษา วัฒนธรรม และประเพณี ทำให้ขาดความเป็นเอกภาพและเกิดความขัดแย้งจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง
(2) ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความยากจน ทำให้ประชาชนไม่พอใจรัฐบาล
(3) ปัญหาขาดประสบการณ์และความชำนาญในการปกครองตนเอง โดยนักการเมือง และประชาชนส่วนใหญ่ขาดการศึกษา ขาดความรู้และความเข้าใจในวิถีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
พัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจของประเทศในทวีปแอฟริกา
1 โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่ในทวีปแอฟริกา มีรายได้หลักจากการปลูกพืชเมืองร้อน เลี้ยงสัตว์ ประมง และทำเหมืองแร่
2 ประเทศส่วนใหญ่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ประชากรกว่าร้อยละ 70 อาศัยอยู่ในชนบท และมีฐานะยากจน ยกเว้น สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจสูงกว่าประเทศอื่นๆ ทั้งหมด โดยมีรายได้หลักจากเหมืองแร่ทองคำและเพชร รวมทั้งมีการพัฒนาอุตสาหกรรมก้าวหน้ามากที่สุดในทวีป
3 สาเหตุที่ทำให้ประเทศในทวีปแอฟริกามีความล้าหลังในการพัฒนาเศรษฐกิจ มีดังนี้
(1) มีรายได้หลักจากผลผลิตทางการเกษตรหรือวัตถุดิบแร่ธาตุเพียง 1-2 ชนิด เมื่อเกิดปัญหาราคาผลผลิตในตลาดโลกตกต่ำ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ เป็นผลจากการชี้นำของประเทศเจ้าของอาณานิคมในอดีตที่เน้นให้ปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดเดียวเพื่อป้อนตลาดในยุโรป
(2) ความยากลำบากในการใช้เส้นทางคมนาคมขนส่งสินค้า ผลผลิต และวัตถุดิบจากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติออกสู่ตลาด โดยเฉพาะการขนส่งทางแม่น้ำ บางแห่งต้องไหลผ่านพื้นที่สูงชัน ไม่สามารถเดินเรือสินค้าได้ หรือสภาพภูมิประเทศเป็นทะเลทราย ป่าดงดิบ หรือที่ราบสูง ฯลฯ เป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาเส้นทางรถไฟ
(3) การเพาะปลูกไม่ได้ผล เนื่องจากพื้นที่ทางการเกษตรส่วนใหญ่มีสภาพแห้งแล้ง ฝนตกน้อย ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ขาดแคลนแหล่งน้ำเพื่อการชลประทานและเทคโนโลยีในการผลิต
(4) ประชากรมีอัตราการเพิ่มสูง ขาดการศึกษา ขาดแรงงานที่มีคุณภาพ หรือมีคุณภาพของประชากรอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ รวมทั้งขาดแคลนเงินทุนและเทคโนโลยีที่ทันสมัย
สภาพทางสังคมและวัฒนธรรมของทวีปแอฟริกา
(1) ลักษณะของประชากร แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
- พวกแอฟริกันผิวดำ เป็นชนส่วนใหญ่ของทวีป มีมากกว่า 3,000 กลุ่ม เช่น พวกปิกมี (Pygmies), พวกทุตซี (Tutsi) และพวกบุชเมน (Bushmen) เป็นต้น
- พวกคอเคเซียน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม พวกที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของทวีป เป็นเชื้อสายอาหรับ และพวกที่ตั้งถิ่นฐานทางตอนใต้ของทวีปเป็นพวกที่อพยพมาจากยุโรป
(2) ลักษณะทางศาสนา ประชากรส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนา รองลงมาเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งมีประมาณร้อยละ 25 ของประชากรทั้งหมด และยังมีผู้นับถือลัทธิความเชื่อในวิญญาณของแต่ละท้องถิ่นอีกจำนวนหนึ่ง
(3) ลักษณะของวัฒนธรรมทางภาษา มีภาษาพูดมากกว่า 1,000 ภาษา แต่ประเทศส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ของทวีปออสเตรเลีย
พื้นที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของทวีปออสเตรเลียมีสภาพอากาศแห้งแล้ง เป็นทะเลทรายหรือทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทราย มีปริมาณฝนน้อย ไม่เหมาะในการตั้งถิ่นฐานของประชากร
1 ทวีปออสเตรเลียมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบอันกว้างใหญ่ ดินแดนภาคตะวันตกเป็นเขตที่ราบสูงและทะเลทราย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ถึง 2 ใน 3 ของทวีป เป็นเขตแห้งแล้งและทุรกันดาร และมีเทือกเขาสูงทางภาคตะวันออกของทวีป คือ เทือกเขาเกรตดิไวดิง (Great Dividing Range)
2 บริเวณที่มีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศเหมาะสมต่อการตั้งถิ่นฐานของประชากรมากที่สุด คือ บริเวณชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทวีป ซึ่งมีภูมิอากาศอบอุ่นเหมือนยุโรปตะวันตก และบริเวณภาคตะวันออก ซึ่งเป็นเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำเมอร์เรย์ ดาร์ลิง มีดินและน้ำอุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญ
ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของทวีปออสเตรเลีย
1 ชนพื้นเมืองเดิมในทวีปออสเตรเลีย คือ พวกอะบอริจินิส (Aborigines) อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทที่ห่างไกลความเจริญ มีมากกว่า 500 เผ่า ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาของป่า มีจำนวนประชากรประมาณ 300,000 คน หรือประมาณร้อยละ 1.5 ของประชากรออสเตรเลียทั้งหมด
2 การสำรวจของชาติตะวันตก นักสำรวจทางทะเลชาวดัตช์ ซึ่งนำโดย วิลเล็ม เจนซ์ (Willem Jansz) เป็นชาวตะวันตกกลุ่มแรกที่ได้พบทวีปออสเตรเลีย เมื่อ ค.ศ. 1606 ต่อมามีนักเดินเรือชาวดัตช์อีกหลายคนเดินทางเข้ามาสำรวจ โดยเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า “นิวฮอลแลนด์” (New Halland) แต่ก็ไม่สนใจที่จะยึดเป็นอาณานิคมของตน เพราะเห็นว่าเป็นดินแดนที่แห้งแล้ง
3 การยึดครองของอังกฤษ กัปตันเจมส์ คุก (James Cook) นักเดินเรือชาวอังกฤษ เป็นชาวตะวันตกคนแรกที่เดินทางมาถึงชายฝั่งตะวันออกของทวีปออสเตรเลีย ในปี ค.ศ. 1769 โดยเห็นว่ามีอากาศอบอุ่น และมีความอุดมสมบูรณ์
4 อังกฤษส่งนักโทษเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ต่อมาในปี ค.ศ. 1787 รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศยึดครองออสเตรเลียเป็นอาณานิคมของตนเอง โดยจัดส่งนักโทษทั้งหญิงและชายมาตั้งถิ่นฐานจำนวน 759 คน พร้อมทั้งแต่งตั้งข้าหลวงเป็นผู้ปกครอง
พัฒนาการทางด้านการเมือง การปกครองของประเทศออสเตรเลีย
1 การตั้งถิ่นฐานของเสรีชนในทวีปออสเตรเลีย นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1821 เป็นต้นมา รัฐบาลอังกฤษมีนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนชาวอังกฤษเข้ามาตั้งแต่ถิ่นฐานในทวีปออสเตรเลียมากขึ้น มิใช่เป็นแหล่งเนรเทศนักโทษเหมือนดังแต่ก่อน
2 สภาพการเมือง การปกครองในระยะแรกๆ มีการจัดตั้งรัฐต่างๆ โดยมีข้าหลวงของแต่ละรัฐเป็นผู้ปกครอง ต่อมาในปี ค.ศ. 1851 มีการค้นพบแร่ทองคำในรัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐวิกตอเรีย ทำให้มีชาวอังกฤษอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพื่อแสวงหาโชคลาภจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางที่มีการศึกษาดี จึงต้องมีการเรียกร้องสิทธิทางการเมืองของตนจากรัฐบาลอังกฤษ
3 พัฒนาการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของออสเตรเลีย มีความเจริญก้าวล้ำนำหน้าประเทศอังกฤษและชาติตะวันตกอื่นๆ หลายประการ อาทิเช่น
(1) การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยวิธีลับ โดยเริ่มต้นที่รัฐวิกตอเรีย ในปี ค.ศ. 1856 ออสเตรเลียจึงเป็นชาติแรกที่ใช้วิธีการดังกล่าว
(2) การให้สิทธิทางการเมืองแก่สตรี โดยให้สตรีมีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งและมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ โดยเริ่มต้นที่รัฐเซาท์ออสเตรเลียก่อน ในปี ค.ศ. 1894
4 การจัดตั้ง “เครือรัฐออสเตรเลีย” ในปี ค.ศ. 1901 รัฐต่างๆ ในออสเตรเลียรวมตัวเป็นประเทศเดียวกัน มีรูปแบบการปกครองแบบสหพันธรัฐ (Federation) มีรัฐสภา และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลหรือฝ่ายบริหาร
ในปัจจุบัน ออสเตรเลียเป็นประเทศสมาชิกในเครือจักรภพอังกฤษ โดยมีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ เป็นองค์พระประมุขของออสเตรเลีย และทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการเป็นผู้แทนพระองค์ประจำในออสเตรเลีย
พัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจของออสเตรเลีย
1 ประเทศออสเตรเลียมีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจระดับสูง จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว โครงสร้างทางเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบทางการเกษตร
2 การทำปศุสัตว์ เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของออสเตรเลีย เนื่องจากมีทุ่งหญ้ากว้างโดยเฉพาะการเลี้ยงแกะพันธุ์ขน (พันธุ์เมอริโน) รองลงมาเป็นโคเนื้อ และโคนมตามลำดับ แหล่งสำคัญ คือ บริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ซึ่งมีอากาศอบอุ่น
3 การเพาะปลูก พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ข้าวสาลี ปลูกมากในเขตอากาศอบอุ่นบริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ แถบบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเมอร์เรย์-ดาร์ลิง
4 การพัฒนาเกษตรกรรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 20-21 มีการนำพืชผักผลไม้ ทั้งพืชเมืองร้อนและพืชเมืองหนาวมาปลูกในออสเตรเลีย เช่น อ้อย สับปะรด และยาสูบ โดยปรับปรุงพันธุ์และใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรเข้าช่วย ทำให้ออสเตรเลียเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน
5 การพัฒนาอุตสาหกรรม ประเทศออสเตรเลียพัฒนาอุตสาหกรรมเจริญก้าวหน้ามาก เนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์ในทรัพยากรแร่ธาตุและวัตถุดิบต่างๆ มีเงินทุนสูง มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และมีประชากรที่มีคุณภาพ
อุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ อุตสาหกรรมการเกษตร เช่น การทอผ้าขนสัตว์ สิ่งทอ เนื้อสัตว์ และอาหารกระป๋อง ฯลฯ และอุตสาหกรรมหนัก เช่น การผลิตรถยนต์ เครื่องจักรการเกษตร การต่อเรือ และการกลั่นน้ำมัน เป็นต้น
สภาพสังคมและวัฒนธรรมของประเทศออสเตรเลีย
1 สังคมออสเตรเลียเป็นสังคมของชาวตะวันตก เมื่อแรกก่อตั้งอาณานิคม ผู้คนส่วนใหญ่ที่อพยพเข้ามาอยู่ในทวีปออสเตรเลียเป็นชนชั้นกลางของชาวอังกฤษและนับถือคริสต์ศาสนา ไม่มีพวกขุนนางหรือชนชั้นสูง ทำให้ออสเตรเลียเป็นสังคมของชาวตะวันตกที่ผู้คนมีความเสมอภาคทางชนชั้น
2 นโยบายสร้างสังคมออสเตรเลียเฉพาะคนผิวขาว ในตอนกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีชาวจีนจากทวีปเอเชียอพยพเข้ามาแสวงโชคในออสเตรเลีย และด้วยความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี ทำให้ชาวอาณานิคมเกิดความรังเกียจและต่อต้าน
ในที่สุดรัฐบาลออสเตรเลียได้ผลักดันกฎหมายเพื่อป้องกันการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของคนผิวเหลือง จากเอเชียและรวมถึงคนผิวดำหรือผิวสีจากภูมิภาคอื่นๆ ด้วย เรียกว่า “นโยบายออสเตรเลียสำหรับคนผิวขาว” (White Australia Policy) ซึ่งในปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960
3 การสร้างสังคมนานาชาติ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1945 ออสเตรเลียเริ่มเปิดตัวต่อสังคมโลกมากขึ้น โดยยอมรับการอยู่ร่วมกันเป็น “สังคมนานาชาติ” ซึ่งมีความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม เช่น เปิดโอกาสให้ชาวยุโรปใต้และยุโรปตะวันออกอพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานได้ และสนับสนุนให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาจากเอเชียเข้าไปศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นต้น
4 การให้สิทธิความเสมอภาคแก่ชาวพื้นเมือง ในปี ค.ศ. 1967 รัฐบาลออสเตรเลีย ให้สิทธิความเป็นพลเมืองโดยสมบูรณ์แก่ชาวพื้นเมือง “อะบอริจินิส” โดยมีโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ ตลอดจนส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมของชนพื้นเมืองในด้านต่างๆ เป็นต้น