1
สมมุติฐานของการศึกษาค้นคว้า
เมื่อนำเชื้อราไตรโดเดอร์มาผสมกับข้าวที่หุงแล้วจะสามารถนำไปรักษาโรคและกำจัดศัตรูพืชได้
ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
1. สถานที่
1 พื้นที่เกษตรหนึ่งตำบลหนึ่งฟาร์ม บ้านบะแค บ้านของสมาชิกกลุ่มทั้ง 4 คน
2.พืชที่ใช้ในการทดลอง คือ พริก มะละกอ
ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
ตัวแปรต้น ข้าวและเชื้อราไดโคเดอร์มา
ตัวแปรตาม การควบคุมโรค
ตัวแปรควบคุม การหยดเชื้อราไตรโคเดอร์มา
บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เชื้อราไดโคเดอร์มา
“ไตรโคเดอร์มา” เป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในจำพวกของเชื้อราชั้นสูง เส้นใยมีผนังกั้นแบ่ง มีประโยชน์สำหรับใช้ควบคุมโรคพืชที่มีสาเหตุมาจากเชื้อราได้อย่างกว้างขวาง ทั้งเชื้อราสาเหตุโรคพืชที่เป็นเชื้อราชั้นสูงและชั้นต่ำ
ในประเทศไทยได้มีการศึกษาค้นคว้าประสิทธิภาพของเชื้อราไตรโคเดอร์มาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะเพื่อควบคุมโรคเมล็ดเน่า โรคเน่าระดับดิน โรคกล้าไหม้ โรครากเน่า โรคโคนเน่า บนพืชหลายชนิด เช่น มะเขือเทศ ถั่วเหลืองฝักสด พริก ฝ้าย ข้าวบาร์เลย์ ส้ม ทุเรียน พบว่ามีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมโรคต่างๆ ดังกล่าวได้ดี
สำหรับรูปแบบหรือวิธีการของเชื้อราไตรโคเดอร์มาในการควบคุมเชื้อราโรคพืช คือ 1. แข่งขันกับเชื้อราโรคพืชในด้านแหล่งของที่อยู่อาศัย อาหาร อากาศ และปัจจัยอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต 2. เส้นใยของไตรโคเดอร์มาจะพันรัดและแทงเข้าไปในเส้นใยของเชื้อราสาเหตุโรคพืช 3. เชื้อราไตรโคเดอร์มาเป็นเชื้อราปฏิปักษ์ที่มีศักยภาพสูงมากชนิดหนึ่ง
ก่อนที่จะนำเชื้อราไตรโคเดอร์มาไปใช้ จำเป็นที่จะต้องนำมาผสมกับรำข้าว (รำใหม่ละเอียด) และปุ๋ยอินทรีย์เสียก่อน ตามอัตราส่วนโดยน้ำหนัก ดังนี้ หัวเชื้อไตรโคเดอร์มา 1 กิโลกรัม : รำข้าว 5 กิโลกรัม : ปุ๋ยอินทรีย์25กิโลกรัม
ปัจจุบันมีชนิดที่จำหน่ายเป็นชุดให้ใช้อัตราตามคำแนะนำของผู้จำหน่ายได้ โดยผสมหัวเชื้อไตรโคเดอร์มา คลุกเคล้าให้เข้ากับรำข้าวให้ดีเสียก่อน แล้วจึงนำไปผสมคลุกเคล้าให้เข้ากับปุ๋ยอินทรีย์ ก็จะได้ส่วนผสมที่พร้อมจะนำไปใช้โดยแนะให้ 1. ใช้รองก้นหลุมก่อนปลูก 2. ใช้โรยรอบโคนต้น 3. ใช้ทั้งรองก้นหลุมและโรยรอบโคนต้น
ข้อจำกัดและข้อควรระวังในการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา ควบคุมเชื้อราสาเหตุโรคพืช มีข้อจำกัดดังต่อไปนี้
1. pH ของดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของไตรโคเดอร์มา อยู่ระหว่าง 5.5-6.5 คือเป็นกรดอ่อน ๆ ซึ่งเป็นช่วง pH ที่พืชปลูกส่วนใหญ่ เจริญเติบโตได้ดีเช่นกัน จึงจำเป็นต้องมีการวัด pH ของดิน และปรับให้เหมาะสมก่อน
2. เชื้อราไตรโคเดอร์มาเป็นเชื้อราชั้นสูง จึงถูกทำลายได้ด้วยสารเคมีที่ใช้ในการป้องกัน และกำจัดเชื้อราชั้นสูงโดยเฉพาะสารเคมีในกลุ่มเบนซิมิดาโซล (benzimidazole) ได้แก่ เบนโนมิล (benomyl) และคาร์เบนดาซิม (carbendazim) ซึ่งเป็นกลุ่มสารเคมีชนิดดูดซึม หากจำเป็นที่จะต้องใช้สารเคมี ควรจะทิ้งช่วงประมาณ2สัปดาห์เป็น อย่างต่ำ
3. ควรใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาอย่างน้อย ปีละ 2 ครั้ง คือต้นฝน และปลายฝน ห่างกัน 6 เดือน เพราะถ้าอาหาร สภาพแวดล้อม และปัจจัย อื่น ๆ ในดินไม่เหมาะสม เชื้อราไตรโคเดอร์มาจะหยุดการเจริญเติบโต
ไตรโคเดอร์มาสามารถควบคุมโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราในดิน เช่น เชื้อราพิเทียม (โรคเน่าระดับดิน กล้ายุบ กล้าเน่า) เชื้อราไฟทอฟธอรา (โรคโคนเน่า) เชื้อราฟิวซาเรียม (โรคเหี่ยว) เชื้อราสเคลอโรเทียม (โรคโคนเน่าเหี่ยว)เชื้อราไรซ็อค โทเนีย(โรคเน่าระดับดินกล้ายุบกล้าเน่า)
วิธีการนำเชื้อราไตรโคเดอร์มาชนิดสดไปใช้ให้คลุกเมล็ดพืชผสมปุ๋ยอินทรีย์แล้วหว่านหรือรองก้นหลุม ผสมกับวัสดุปลูกผสมน้ำฉีด
เชื้อราไตรโคเดอร์มาชนิดสด คือ เชื้อราไตรโคเดอร์มาที่กำลังเจริญเติบโตอยู่บนวุ้น สำหรับเลี้ยงเชื้อ หรือบนอาหารจำพวกเมล็ดพืช โดยอยู่ในรูปสปอร์สีเขียวปกคลุมวัสดุอาหารอย่างทั่วถึง ไม่มีการปนเปื้อนที่ทำให้เห็นสปอร์เป็นสีอื่นมีเมือกเยิ้ม หรือมีกลิ่นเหม็น ในการผลิตเชื้อรา ไตรโคเดอร์มาชนิดสดเพื่อใช้ควบคุมโรคพืชนั้น จะมีหัวเชื้อราไตรโคเดอร์มาที่มีประสิทธิภาพสูง เลี้ยงบนปลายข้าว หรือข้าวสุก โดยมีอุปกรณ์ คือ 1. หัวเชื้อไตรโคเดอร์มา 2. หม้อหุงข้าวไฟฟ้า 3. ถุงพลาสติกทนร้อนขนาด 8x12นิ้ว 4.ปลายข้าว 5.ยางวง
ด้วยวิธีการ เตรียมอาหารเลี้ยงเชื้อ ดังนี้... 1. หุงปลายข้าวด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ใช้ข้าว 3 ส่วน ต่อน้ำ 2 ส่วน 2. ตักข้าวสุกที่ยังร้อนอยู่ใส่ถุงพลาสติกทนร้อนที่เตรียมไว้จำนวน 2 ทัพพี (พูน) หรือประมาณ 250 กรัมต่อถุง 3. กดข้าวให้แบน รีดเอาอากาศออกให้ถุงพลาสติกแนบกับข้าวเพื่อลดการเกิดหยดน้ำทิ้งไว้ให้อุ่นหรือเย็น 4. ใส่หัวเชื้อไตรโคเดอร์มาลงในถุงเพียงเล็กน้อย ประมาณ 1-1.5 กรัม ต่อถุง 5. รัดยางปากถุงให้แน่น แล้วเขย่าหรือบีบข้าวเบา ๆ เพื่อให้เชื้อกระจายทั่วถุง 6. รวบถุงให้บริเวณปากถุงพอง แล้วใช้เข็มเย็บผ้าแทงรอบ ๆ ปากถุง 10-15 แผล 7. กดข้าวในถุงให้แผ่กระจายไม่ซ้อนทับกัน ดึงบริเวณกลางถุงขึ้นเพื่อไม่ให้พลาสติกแนบกับข้าวและเพื่อให้อากาศเข้าไปในถุงเพียงพอ 8. บ่มเชื้อเป็นเวลา 2 วัน โดยวางถุงเชื้อในห้องที่ปลอดจากมด ไร และสัตว์อื่น ๆ อากาศไม่ร้อน และไม่ ถูกแสงแดด แต่ได้รับแสงวันละ 6-10 ชั่วโมง/วัน หากแสงไม่พอ ใช้แสงจากหลอดนีออนช่วยได้ 9. เมื่อครบ 2 วัน บีบขยำก้อนข้าวที่มีเส้นใยของเชื้อเจริญอยู่ให้แตกแล้ววางถุงไว้ที่เดิมดึงถุงให้อากาศเข้าอีก ครั้ง บ่มไว้อีก 4-5 วัน 10. เชื้อสดที่ผลิตได้ควรนำไปใช้ทันที เก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาได้ 1 เดือน
การควบคุมวัชพืชในนาข้าวแบบผสมผสาน
วัชพืชถือได้ว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาการปลูกข้าว ไม่ว่าจะเป็นการปลูกข้าวโดยวิธีใด ทั้งนี้ เนื่องจากความชื้นในดินทำให้เกิดมีวัชพืชขึ้นมากชนิดกว่าการปลูกพืชชนิดอื่น ๆ ซึ่งวัชพืชใบแคบสกุบหญ้าต่าง ๆ จะสร้างปัญหาให้มากที่สุด ส่วนวัชพืชใบกว้างและวัชพืชน้ำนั้นจะทำความเสียหายให้น้อยกว่า การควบคุมวัชพืชควรจะเริ่มตั้งแต่การปลูกจนกระทั่งเก็บเกี่ยว ส่วนวิธีการควบคุมนั้นก็สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของวิธีการเหล่านั้นและความพร้อมของเกษตรกรเอง ดังนั้น ในการจะเลือกใช้วิธีใด เกษตรกรควรต้องพิจารณาถึงปัจจัยหลาย ๆ ด้าน เช่น สภาพพื้นที่ที่ปลูกข้าง ชนิดของวัชพืช ผลดี-ผลเสียของแต่ละวิธี วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ ระยะเวลาที่ใช้ รวมทั้งความคุ้มค่าต่อการลงทุนด้วย
วิธีการควบคุมวัชพืชในนาข้าว
1. การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ และใช้เมล็ดพันธุ์ที่ปราศจากการเจือปนของเมล็ดวัชพืช ซึ่งเกษตรกรสามารถทำได้หลายวิธี เช่น
1.1 การฝัดหรือโบก เพื่อให้สิ่งเจือปนที่เบากว่าเมล็ดข้าวแยกตัวออก
1.2 การคัดแยกสิ่งเจือปนด้วยมือ
1.3 การทดสอบความงอกของเมล็ดพันธุ์ก่อนนำไปปลูก
1.4 การแยกเมล็ดโดยการลอยตัวโดยการนำเมล็ดพันธุ์ข้าวมาแช่น้ำ คนให้ทั่วแล้วทิ้งไว้สักพัก เมล็ดที่เสียจะลอยอยู่ข้างบนให้ตักออกแล้วนำเมล็ดที่จมน้ำมาตากให้แห้งก่อนนำไปปลูกหรือเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ต่อไป
2. การเตรียมดิน
2.1 การไถ เป็นการพลิกหน้าดินส่วนล่างขึ้นมาอยู่ข้างบน การไถครั้งแรกจึงเป็นการกลบทำลายวัชพืชที่อยู่ด้านบน ส่วนวัชพืชที่อยู่ด้านล่างก็จะถูกพลิกขึ้นมาข้างบน ดังนี้นจึงควรไถประมาณ 2-3 ครั้ง โดยทิ้งช่วงการไถแต่ละครั้งประมาณ 7-10 วัน เพื่อจะได้ทำลายวัชพืชทั้งที่อยู่บนดินและเหง้าที่อยู่ใต้ดิน
2.2 การคราด เป็นวิธีการกำจัดวัชพืชที่ใช้ลำต้นหรือเหง้าในการขยายพันธุ์ และยังสามารถกำจัดต้นอ่อนของวัชพืชหลังจากการไถได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังจะทำให้ดินร่วนซุย เหมาะแก่การชอนไชของรากข้าวนาหว่าน ทำให้ต้นข้าวงอกงามแข็งแรง
2.3 การทำเทือก เป็นวิธีการทำให้ดินที่ผ่านการไถดะหรือไถพรวนแล้วให้อยู่ในสภาพที่เละง่ายต่อการปักดำ หรือการทำนาหว่ายน้ำตม ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตได้รวดเร็วขึ้น
3. เลือกวิธีการปลูกและอัตราการปลูก
3.1 วิธีการปลูก การปลูกข้าวแบบนาดำจะช่วยลดปริมาณวัชพืชได้มากกว่าวิธีอื่น เพราะในการปักดำข้าวจะใช้กล้าต้นข้าวที่มีการเจริญเติบโตแล้ว ในขณะที่วัชพืชกำลังจะเริ่มเจริญเติบโตดังนั้น จึงเป็นการลดการระบาดของวัชพืชลงได้
3.2 อัตราการปลูก ความหนาแน่นของต้นข้าวก็มี ส่วนช่วยในการควบคุมวัชพืชได้เหมือนกัน ถ้าต้นข้าวมีความหนาแน่นน้อย ช่องว่างระหว่างต้นข้าวก็จะมีมาก ทำให้เกิดวัชพืชได้มาก ในทางตรงกันข้าม ถ้าความหนาแน่นของต้นข้าวมาก ช่องว่างระหว่างต้นมีน้อย วัชพืชก็เกิดขึ้นได้น้อย
4. การควบคุมโดยใช้ระดับน้ำ ในการทำนาดำหรือนาหว่านน้ำตม น้ำจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มผลผลิตข้าวให้สูง ดังนั้น การที่เกษตรกรปล่อยน้ำให้ขังอยู่ในแปลงนาก็จะเป็นการช่วยลดปัญหาวัชพืช โดยเฉพาะวัชพืชใบแคบสกุลหญ้าจะมีความอ่อนแอต่อสภาพน้ำขัง
5. การใช้แรงงานในการกำจัดวัชพืช โดยการใช้มีด จอบ เสียม หรือเครื่องมืออื่น ๆ ที่ต้องใช้แรงงานคน แต่เนื่องจากปัจจุบันนี้แรงงานหายากและมีราคาแพง อีกทั้งต้องใช้เวลามาก จึงไม่นิยมปฏิบัติกัน
6. การใส่ปุ๋ย ควรทำการกำจัดวัชพืชก่อนการใส่ปุ๋ย การใส่ปุ๋ยครั้งแรกจะใส่ขณะเตรียมดิน และจะใส่อีกครั้ง หลังจากนำน้ำเข้าแปลง เพื่อให้น้ำยับยั้งการเจริญเติบโตของวัชพืชเป็นการป้องกันไม่ให้วัชพืชมาแย่งธาตุอาหารของต้นข้าว
7. การปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชอื่น เช่น ข้าวโพด ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ฯลฯ สลับกับการปลูกข้าว จะทำให้เกิดการเปลี่ยนสภาพของดินและระบบนิเวศวิทยาของพืช และวัชพืชซึ่งมีความต้องการสภาพของดินแตกต่างกัน จึงมีผลทำให้วัชพืชลดลงได้
8. การใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืช ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มจะใช้กันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทดแทนการใช้แรงงานคนที่หายากและมีราคาแพง แต่เนื่องจากสารเคมีกำจัดวัชพืชจัดได้ว่าเป็นสารพิษ ดังนั้นเกษตรกรจึงควรมีความรอบคอบในการใช้ เลือกใช้สารเคมีให้เหมาะสมกับวัชพืช ใช้ตามอัตราและเวลาที่กำหนด อีกทั้งต้องพิจารณาราคาของสารเคมีที่จะใช้ด้วยว่าจะคุ้มค่าต่อการลงทุน นอกจากนี้ยังควรคำนึงถึงพิษตกค้างที่อาจจะสะสมในพืชหรือในดิน ซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเกษตรกร ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม หากเป็นไปได้ควร หลีกเลี่ยงหรือใช้ในปริมาณที่น้อยที่สุดก็จะเป็นการดีอย่างยิ่ง
9. การควบคุมโดยชีววิธี เช่น การเลี้ยงปลา เลี้ยงเป็ด และปลูกแหนแดง จะมีส่วนช่วยป้องกันและกำจัดวัชพืชได้เป็นอย่างดี และเป็นการเพิ่มธาตุอาหารในดินอีกด้วย
ลักษณะทั่วไป
ลักษณะที่สำคัญของข้าวแบ่งออกได้เป็นลักษณะที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโต และลักษณะที่เกี่ยวกับการขยายพันธุ์ ดังนี้
ลักษณะที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโต
ลักษณะที่มีความสัมพันธุ์กับการเจริญเติบโตของต้นข้าว ได้แก่ ราก ลำต้น และใบ
- ราก รากเป็นส่วนที่อยู่ใต้ผิวดิน ใช้ยึดลำต้นกับดินเพื่อไม่ให้ต้นล้ม แต่บางครั้งก็มีรากพิเศษเกิดขึ้นที่ข้อซึ่งอยู่เหนือพื้นดินด้วย ต้นข้าวไม่มีรากแก้ว แต่มีรากฝอยแตกแขนงกระจายแตกแขนงอยู่ใต้ผิวดิน
- ลำต้น มีลักษณะเป็นโพรงตรงกลางและแบ่งออกเป็นปล้องๆ โดยมีข้อกั้นระหว่างปล้อง ความยาวของปล้องนั้นแตกต่างกัน จำนวนปล้องจะเท่ากับจำนวนใบของต้นข้าว ปกติมีประมาณ 20-25 ปล้อง
- ใบ ต้นข้าวมีใบไว้สำหรับสังเคราะห์แสง เพื่อเปลี่ยนแร่ธาตุ อาหาร น้ำ และคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นแป้ง เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและ สร้างเมล็ดของต้นข้าว ใบประกอบด้วย กาบใบและแผ่นใบรวงข้าว
ลักษณะที่เกี่ยวกับการขยายพันธุ์
ต้นข้าวขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดซึ่งเกิดจากการผสมระหว่างเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย ลักษณะที่สำคัญเกี่ยวกับการ ขยายพันธุ์ ได้แก่ รวง ดอกข้าวและเมล็ดข้าว
- รวง รวงข้าว (panicle) หมายถึง ช่อดอกของข้าว (inflorescence) ซึ่งเกิดขึ้นที่ข้อของปล้องอันสุดท้ายของต้นข้าว ระยะระหว่างข้ออันบนของปล้องอันสุดท้ายกับข้อต่อของใบธง เรียกว่า คอรวง
- ดอกข้าว หมายถึง ส่วนที่เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียสำหรับผสมพันธุ์ ดอกข้าวประกอบด้วยเปลือกนอกใหญ่สองแผ่นประสานกัน เพื่อห่อ หุ้มส่วนที่อยู่ภายในไว้ เปลือกนอกใหญ่แผ่นนอก เรียกว่า เลมมา (lemma) ส่วนเปลือกนอกใหญ่แผ่นใน เรียกว่า พาเลีย (palea) ทั้งสองเปลือกนี้ ภายนอกของมันอาจมีขนหรือไม่มีขนก็ได้
- เมล็ดข้าว หมายถึง ส่วนที่เป็นแป้งที่เรียกว่า เอ็นโดสเปิร์ม (endosperm) และส่วนที่เป็นคัพภะ ซึ่งห่อหุ้มไว้โดยเปลือกนอกใหญ่สองแผ่น เอ็นโดสเปิร์มเป็นแป้งที่เราบริโภค คัพภะเป็นส่วนที่มีชีวิตและงอกออกมาเป็นต้นข้าวเมื่อเอาไปเพาะ ต้นข้าวที่กำลังออกรวง
แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ข้าวเจ้า และ ข้าวเหนียว ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันเกือบทุกอย่างแต่ต่างกันตรงที่เนื้อแข็งในเมล็ด
- เมล็ดข้าวเจ้าประกอบด้วยแป้งอมิโลส (Amylose) ประมาณร้อยละ 15-30
- เมล็ดข้าวเหนียวประกอบด้วยแป้งอมิโลเพคติน (Amylopectin) เป็นส่วนใหญ่และมีแป้งอมิโลส (Amylose) ประมาณร้อยละ 5-7
โลกมีความต้องการข้าวความต้องการบริโภคของโลกประมาณ 417.7 ล้านตัน ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลก ด้วยสัดส่วนการส่งออก ร้อยละ 36 รองลงมาคือ เวียดนาม ร้อยละ 20 อินเดีย ร้อยละ 18 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ14 ปากีสถาน ร้อยละ 12 ตามลำดับ
บทที่ 3
อุปกรณ์และวิธีการศึกษา
สถานที่ทำการทดลอง
พื้นที่แปลงเกษตร หนึ่งตำบลหนึ่งฟาร์มบ้านบะแค ตำบลแวงใหญ่ อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น
อุปกรณ์ในการขยายเชื้อสดเพื่อทดลอง
1. หม้อหุงข้าวไฟฟ้า
2. ปลายข้าวหรือข้าวสาร
3. น้ำ
4. ยางวง
5. เข็มหรือ เข็มหมุด
6. ถุงพลาสติกทนร้อน ขนาด 8 × 12 นิ้ว
7. หัวเชื้อราไตรโคเดอร์มา
8. เครื่องชั่ง (หากไม่มี ใช้ช้อนทัพพีก็ได้ )
วิธีการดำเนินการ
ในการทดลอง ขยายเชื้อราไตรโคเดอร์มาด้วยข้าว แล้วนำไปใช้ทดลองปลูกกับพืชสวนครัว ได้ดำเนินการดังนี้
1. ศึกษาการเตรียมอาหารเลี้ยงเชื้อและการใส่หัวเชื้อ
1.1 หุงปลายข้าวด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้าโดยใช้ข้าว 3 ส่วน ต่อน้ำ 2 ส่วน ถ้าข้าวนิ่มเกินไป ให้ใช้ข้าว 2 ส่วน ต่อน้ำ 1 ส่วน ใช้ทัพพีซุยข้าวในหม้อสุกแล้วให้ทั่ว
1.2 ตักข้าวขณะร้อน 2 ทัพพี (พูน) ใส่ถุงพลาสติกทนร้อนขนาด 812 นิ้ว หรือประมาณ 250 กรัมต่อถุง
1.3 กดข้าวและรีดอากาศออกจากถุงพับปลายถุงลงด้านล่าง ปล่อยให้ข้าวอุ่น (เกือบเย็น) จึงเหยาะหัวเชื้อ 1-2 ครั้ง ลงบนข้าวในถุง ควรใส่เชี้อในบริเวณที่ลมสงบเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของ
จุลินทรีย์ในอากาศ
1.4 รัดยางที่ปลายปากถุงหรือใช้ลวดเย็บกระดาษเย็บที่ปลายปากถุง ซึ่งพับทบ 2-3 ชั้นแล้วเขย่าหรือบีบข้าวเบา ๆ เพื่อให้ผงหัวเชื้อกระจายทั่วทั้งถุง ใช้เข็มหมุดหรือเข็ม แทงบริเวณใกล้ปากถุง ประมาณ 15-20 ครั้งต่อถุง
2. การบ่มเชื้อราไตรโคเดอร์มา
2.1 กดข้าวในถุงให้แผ่นกระจาย ไม่วางซัอนถุงทับกัน ดึงบริเวณกลางถุงขึ้นให้มีอากาศเข้าไปในถุงข้างอย่างเพียงพอ วางถุงเชื้อในที่อากาศถ่ายเทปลอดจากมด ไรและสัตว์อื่น ๆ และได้รับแสงสว่าง 6-10 ชั่งโมงต่อวัน
2.2 หลังจากบ่มเชื่อครบ 2 วัน เชื้อราไตรโดเดอร์มาจะเจริญทั่วถุงทำให้ข้าวจับตัวเป็นก้อน
2.3 เมื่อครบ 2 วัน บีบขยำก้อนข้าวที่มีเส้นใยของเชื้อเจริญอยู่ให้แตก แล้ววางถุงที่เดิม ดึงถุงให้ถุงมีอากาศเข้าอีกครั้งแล้วบ่มในสภาพเดิม ต่ออีก 4-5 วัน อย่าลืมดึงถุงให้โปร่ง เชื้อสดที่ผลิตได้ ควรนำไปใช้ทันที หรือเก็บในตู้เย็น ช่องธรรมดา ได้ไม่เกิน 1 เดือน ก่อนนำมาใช้
3. เตรียมต้นกล้าพืชและพื้นที่ปลูก
พืชที่จะนำมาปลูกทดลองมี พริก มะละกอ ข้าวโพด
3.1 เตรียมหลุมปลูกที่นำเชื้อราไตรโคเดอร์มารองก้นหลุม หลุมละประมาณ 1 ช้อนแกง
3.2 เตรียมหลุมปลูกต้นกล้าที่ไม่ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาไว้ใกล้เคียงกัน
3.3 สังเกตการเจริญเติบโต
บทที่ 4
ผลการศึกษาและอภิปรายผลการศึกษา
จากการศึกษาโครงงาน เรื่อง “ เชื้อราไตรโคเดอร์มา” ซึ่งทำการทดลองปลูกพืชเพื่อใช้แทนปุ๋ยเคมีและยากำจัดเชื้อโรคของพืช ได้สังเกตการเจริญเติบโตดังนี้
ระยะเวลา | พริก (ซม.) | มะละกอ (ซม.) | ||
ใช้ | ไม่ใช้ | ใช้ | ไม่ใช้ | |
สัปดาห์ที่ 1 |
|
|
|
|
สัปดาห์ที่2 |
|
|
|
|
สัปดาห์ที่3 |
|
|
|
|
สัปดาห์ที่ 4 |
|
|
|
|
สัปดาห์ที่ 5 |
|
|
|
|
จากการทดลองปลูกพืชโดยใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา แทนการใช้ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืช โดยเริ่มศึกษาตั้งแต่การผสมเชื้อราไตรโคเดอร์มาแล้วนำมาปลูกพืช สังเกตการเจริญเติบโตของพริก มะละกอ ว่ามีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตอย่างไร
จากการทดลองครั้งนี้ได้ค้นพบว่า การสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับพืช จากการสังเกตและศึกษาต้นพริก มะละกอ กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองในแปลงผักที่อยู่ใกล้กันเห็นได้ชัดในการเจิญเติบโตของพืชทั้ง 2 ชนิด ว่า ต้นพริก ,มะละกอ ในหลุมปลูกควบคุมที่ไม่ใส่ข้าวผสมเชื้อราไตรโคเดอร์มาจะเจริญเติบโตช้า ต้นไม่ค่อยสมบูรณ์ ในขณะที่ต้นพริก ,ต้นมะละกอ ในหลุมปลูกทดลองจะเจริญเติบโตเร็ว ลำต้นอวบแข็ง ใบจะมีสีเขียวเข้มเป็นมัน
การปลูกพืชโดยใช้ข้าวผสมเชื้อราไตรโคเดอร์มา เป็นการเร่งการเจริญเติบโตสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพืช ไม่ให้เกิดโรคเน่าระดับดิน โคนเน่า รากเน่า ใบเหี่ยวหยิกงอ ทำให้ได้ผลผลิตเร็วและมากขึ้น พริกมีลูกดก มะละกอมีลูกดกใหญ่สมบูรณ์
บทที่ 5
สรุปประโยชน์ข้อเสนอแนะ
สรุปในการจัดทำโครงงาน วิทยาศาสตร์ (เคมี)เรื่อง เชื้อราไตรโคเดอร์มา เพื่อใช้ในการเพาะปลูกใช้แทน ปุ๋ยแคมี และยากำจัดศัตรูพืช ของคณะผู้จัดทำในครั้งนี้นั้นจะประสบความสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่ได้ คำปรึกษา และสถานที่ดี ๆ จาก หนึ่งตำบลหนึ่งฟาร์ม พร้อมทั้งบุคลากรทางการเกษตรร่วมกับชาวบ้านบ้านบะแคที่ให้ความรู้ความเข้าใจด้านกิจกรรมการเกษตรเป็นอย่างดียิ่ง
ดังนั้น ในการทำโครงงาน เชื้อราไตรโคเดอร์มา คณะผู้จัดทำ ได้จัดทำขึ้นเพื่อนำไปใช้ในการเกษตรของครอบครัว และเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจนำไปปรับปรุงใช้ในชีวิตประจำวันได้
ประโยชน์
1. ทำให้พืชที่ปลูกโตเร็ว ผลดก ใบเขียว
2. ทำสภาพพื้นดินไม่เสื่อมโทรมง่าย และมีสุขภาพที่ดี ปลอดภัยจากสารพิษ
3. ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการด้านอาหารให้กับผู้บริโภคได้รับประทานอาหารอย่างมีคุณค่าทางโภชนาการ
ข้อเสนอแนะ
1. ควรศึกษาให้เข้าใจอย่างแท้จริงทุกๆขั้นตอนของการทำโครงงาน
2.ควรได้รับคำแนะนำจากผู้รู้อย่างแท้จริง
3.ควรดำเนินงานตามขั้นตอนของโครงงาน
โครงงานวิทยาศาสตร์
เรื่อง “ เชื้อราไตรโคเดอร์มารักษาโรคพืชด้วยข้าวชนิดสด ”
( ประเภททดลอง )
จัดทำโดย
นายชโนวัรจ์ ทรัพย์สะอาด ชั้นม. 4/3 เลขที่ 4
นายพงศ์พันธุ์ ใบศรี ชั้นม. 4/3 เลขที่ 10
นางสาวนุชรี กาคำ ชั้นม. 4/3 เลขที่ 23
นางสาวภิราภรณ์ พูลศรี ชั้นม. 4/3 เลขที่ 28
อาจารย์ที่ปรึกษา
อาจารย์วันทนา ทานุมา
โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาวิทยาศาสตร์ (เคมี)
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ระดับช่วงชั้นที่ 4
โรงเรียนแวงใหญ่วิทยาคม
อำเภอแวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาขอนแก่นเขต 3
บทคัดย่อ
โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง เชื้อราไตรโคเดอร์มารักษาโรคพืชด้วยข้าวชนิดสด เป็นโครงงาน เพื่อศึกษาหา ตัวเชี้อราบริสุทธ์ ปราศจากจุลินทรีย์ปนเปื้อน ที่ใช้สำหรับผลิตขยายเชื้อสด บนวัสดุอาหารต่าง ๆเพื่อนำไปเป็นปุ๋ย และควบคุมโรคพืชต่าง ๆเช่นพริก มะเขือ มะละกอ พืชผักสวนครัวต่าง ๆ
การศึกษาได้ไปเก็บข้อมูลที่ สวนเกษตรเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพรราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฟาร์มไร่นาสวนผสม และ หนี่งฟาร์มหนึ่งตำบล ของนางประพาต แก้วจันทร์ ตั้งอยู่ที่บ้านบะแค ตำบลแวงใหญ่ อำเภอวงใหญ่ ผู้จัดทำได้ไปใช้เนื้อที่ปลูกผักเพื่อทำการทดลองด้วย ผู้จัดทำได้ศึกษาข้อมูล วิธีการขยายหรือเลี้ยงเชี้อราไตรโคเดอร์มาโดยเลี้ยงบนปลายข้าวหรือข้าวสารที่หุงสุกแล้วจะเป็นเชื้อราที่มีประสิทธิภาพสูง
ผลจากการทดลองใช้ ปรากฎว่า พืชที่เราใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาในการเพาะปลูกที่นิยมใช้มากคือ การนำเอาเชื้อราไตรโคเดอร์มาที่บ่มไว้กับข้าวลงรองในหลุมปลูกก่อนนำต้นกล้าลงปลูกได้รับความนิยมในการใช้มาก เช่นการปลูกพริก มะเขือ มะละกอ จะได้ผลดี พืชจะไม่เป็นโรค รากเน่า โคนเน่า ไม่มีใบหยิกใบงอ ต้นพืชเจิญเติบโตได้เร็ว มีลูกดก ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ว่าป้องกันการเกิดโรคและไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช พืชก็ไม่เป็นโรคได้ จึงเหมาะกับการนำไปเผยแพร่ เพื่อให้เกษตรกรตลอดจนผู้ที่สนใจสามารถผลิตและนำไปใช้ในการควบคุมโรคพืชได้ด้วยตัวเอง
กิติกรรมประกาศ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การใช้ข้าวขยายเชื้อราไตรโคเดอร์มา คณะผู้จัดทำได้ แรงบันดาลใจและแรงสนับสนุนจาก นาย ขันติภาณ ศรีใส ที่สำคัญยิ่งคือได้รับความอนุเคราะห์ด้านข้อมูลและสถานที่ในการทดลองใช้ จาก นางประพาต แก้วจันทร์ เจ้าของฟาร์มหนึ่งตำบลหนึ่งฟาร์มและรวมทั้งผู้ปกครองของสมาชิก ที่ได้คำแนะนำสนับสนุนทุกอย่าง
คณะผู้จัดทำ ขอขอบพระคุณทุกท่านที่กล่าวไว้ ณ ที่นี้ด้วย
คณะผู้จัดทำ
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3
คำนำ
โครงงานฉบับนี้ป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา เคมี ผู้จัดทำได้จัดทำขึ้นเพื่อ ใช้ในการทดลองการเพาะปลูกพืชโดยไม่ใช้ยากำจัดแมลง ปุ๋ยเคมี เพราะจะทำให้สารพิษสะสมในร่างกายมนุษย์เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ยังเป็นตัวทำลายสภาพดินให้เสื่อมโทรมลงอีกด้วย ผู้จัดทำจึงมีแนวคิดแนวทางแก้ไขปัญหาซึ่งได้รับแรงบรรดาลใจจาก นายขันติภาณ ศรีใส ที่ให้คำปรึกษา แนะแนวทางในการทำ โครงงาน เชื้อไตรโคเดอร์มา ผู้จัดทำขอขอบคุณ คุณแม่ประพาต แก้วจันทร์ ที่ให้ความอนุเคราะห์สถานที่เพาะปลูกในการทำการทดลองและชาวบ้านบ้านบะแค ขอขอบคุณอาจารย์วันทนา ทานุมา ที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำโครงงานในครั้งนี้
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ได้ศึกษา หากคณะผู้จัดทำได้ทำผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องประการใด คณะผู้จัดทำต้องขอ อภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
คณะผู้จัดทำ